วันพุธที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554

"พระปิ่นเกล้า" The Second King แห่งรัชกาลที่ 4 กษัตริย์ผู้ทรงมีอัจฉริยภาพที่มากคน"ไม่รู้จัก"

วันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 14:29:39 น.

โดย...ปรีชยา ซิงห์

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
เป็นที่รับรู้กันไม่ลงลึกนักว่า ในสมัยรัชกาลที่ 4 หรือเมื่อกว่า 160  ปีที่ผ่านมา สยามประเทศ มีพระมหากษัตริย์ปกครองบ้านเมืองด้วยกันถึง 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่ง ทั้งสองพระองค์เป็นพระเจ้าแผ่นดินคู่พี่น้องสายเลือดเดียวกันที่ทรงเปี่ยมไป ด้วยพระปรีชาความสามารถรอบด้าน โดยเฉพาะกิจการด้านการต่างประเทศ
และเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2554 ที่ผ่านมา กรมศิลปากร ได้จัดงาน "เปิดวังหน้า รำลึกพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว"  ในวาระคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ พร้อมกับมีการเสวนาเรื่อง พระปิ่นเกล้า อ่าน เขียน เรียน "ฝรั่ง" รู้เท่าทันตะวันตก   ด้วย  The Second King   ตามที่ชาติฝรั่งเรียกนี้ ทรงมีชื่อเสียงโด่งดังกับราชทูตประเทศอังกฤษมาก กระทั่งกระฉ่อนไปไกลถึงสหรัฐอเมริกา ถึงขนาดที่  นายแฟรงกลิน เพียร์ซ ประธานาธิบดีคนที่ 14 ของสหรัฐฯ  ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมากมายมาถวาย กษัตริย์ทั้ง2 ถึงเมืองสยาม 
สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ (พระปิ่นเกล้า) เมื่อครั้งวัยหนุ่ม
 เอกสุดา สิงห์ลำพอง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร 
เอกสุดา สิงห์ลำพอง อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร  เปิดเผยเอกสารทางประวัติศาสตร์ที่พบว่า พระปิ่นเกล้า ทรงชื่นชอบสนับสนุนชาติ "อเมริกา" มากถึงขั้นพระราชทานนามพระโอรสองค์โตของพระองค์ ในเจ้าจอมมารดาเอมว่า "ยอร์ช วอชิงตัน" (พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ หรือ กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ) ตามชื่อประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา 
   โดยเครื่องบรรณาการที่นายทาวน์เซนด์ ทูตของสหรัฐนำมาถวายพระจอมเกล้าฯ และพระปิ่นเกล้าฯ จึงมีภาพวาดเหมือนนายจอร์จ วอชิงตัน ขนาดเท่าตัวจริงเป็นหนึ่งในรายการที่นำมามอบให้   ซึ่งน่าจะถูกพระทัยพระองค์เป็นที่สุด
พระบวรราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ โรงละครแห่งชาติ 
พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ ที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้น
เมื่อเสด็จบวรราชาภิเษกแล้ว (ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร) 
ภาพเหมือนจอร์ช วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา
ที่ทูตอเมริกันนำมาถวายเป็นเครื่องบรรณาการแด่พระปิ่นเกล้า
ภาพเหมือนประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน ที่อเมริกา นำมามอบให้พระปิ่นเกล้านี้  เป็นฝีมือการวาดของ เรมบรันต์ พีล (Rembrandt Peale) ศิลปินชื่อดังชาวอเมริกัน ปัจจุบันแขวนอยู่ที่พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์  พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ส่วนอีกรูปหนึ่งนายทาวน์เซนด์นำมาถวายรัชกาลที่ 4 ในคราวเดียวกัน แต่ปัจจุบันไม่ทราบไปอยู่ที่แห่งใด ด้วยไม่มีใครเคยพบเห็นอีกเลย 

นายไกรฤกษ์ นานา นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ และคอลัมนิสต์ประจำนิตยสารศิลปวัฒนธรรม 
ด้าน นายไกรฤกษ์ นานา นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์  และคอลัมนิสต์ประจำนิตยสารศิลปวัฒนธรรม  สำนักพิมพ์มติชน ได้โชว์หนังสือพิมพ์ต่างประเทศ ที่เผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเป็นจดหมายที่ เซอร์ จอห์น บาวริ่ง ราชทูตอังกฤษสมัยนั้น เขียนชื่นชม The Second King  ของไทย  ที่ทรงมีสายพระเนตรกว้างไกลใน ด้านการทหาร การต่างประเทศ ทรงรอบรู้ข่าวสารต่างๆในการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างชาติ ทั้งยังชื่นชมการพูด การเขียน การอ่านภาษาอังกฤษของพระองค์ที่มีความแตกฉานอย่างคล่องแคล่วและสละสลวย โดยเฉพาะลายพระหัตถ์ที่สวยงาม เป็นระเบียบเรียบร้อยมาก 
 


นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ชื่อดัง กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นกษัตริย์ที่ชาติยุโรปให้การยอมรับมาก นอกเหนือจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ทรง ปรีชาทางด้านการทหารมาก ด้วยทรงเป็นทหารเรือ มาตั้งแต่ สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 แล้วโดยทรงดูแลเรื่องกรมทหาร ทรงสนใจเกี่ยวกับอาวุธยุทธภัณฑ์เป็นพิเศษ  วิชาการช่างกล และวิชาการปืนใหญ่ ทั้งยังมีความรู้ในวิชาการต่อเรืออย่างดี ทรงต่อเรือรบกลไฟขึ้นเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ไทย  ซึ่งตำแหน่งสูงสุด คือทรงบังคับบัญชาการทหารเรือ วังหน้า (กรมพระราชวังบวรสถานมงคล) ดังจะเห็นได้ว่า โปรดทรงเครื่องแบบทหารเรือมากที่สุด


หนังสือพิมพ์ต่างชาติ ที่ลงข่าวการชื่นชมพระปิ่นเกล้า ว่า
ทรงมีความสามารถในด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านภาษา

นายไกรฤกษ์ ระบุต่อว่า  เมื่อมีผู้อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขึ้นครองราชย์ พระองค์จึงทรงให้อัญเชิญ สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระอนุชาขึ้นครองราชย์พร้อมกันไปด้วย  พร้อมทั้งทำพิธีพระบวรราชาภิเษกเสมอด้วยเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 2 เนื่องจากพระปิ่นเกล้าทรงมีกำลังทหารมาก  และมีพระชะตาแรงสมควรได้เป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง เสมือนอเมริกาที่มีประธานาธิบดี และรองประธานาธิบดี  อย่างไรก็ตาม ชาติฝรั่ง ระบุลงในบันทึกว่า อำนาจบริหารประเทศอยู่ที่พระจอมเกล้า 80 %  ขณะที่พระปิ่นเกล้าอยู่ที่ 20 %
 รศ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

ปิดท้ายที่ รศ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อดีตคณบดีคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์   เปิดคำถามขึ้นต้นว่า "ทำไมสยามต้องสนใจตะวันตก?"  พร้อมอธิบายว่า ประเทศสยามเริ่มเปลี่ยนแปลงทางวิวัฒนาการต่างๆ โดยรับอิทธิพลจากชาติตะวันตกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4  ที่ผู้นำสยามมีความสัมพันธ์อันดีกับชาติอเมริกัน ซึ่งมีผลลึกซึ้งเป็นอย่างมาก ผู้ที่นำเข้าวัฒนธรรมต่างๆ นั้นล้วนมาจากหมอสอนศาสนาหรือมิชชันนารี   ซึ่งจากการศึกษาแล้วมิชชันนารีเหล่านั้นแม้จะเป็นผู้ที่มีความเชื่อเรื่อง ศาสนามาก   แต่ก็ไม่ได้มีจุดประสงค์ที่จะเข้ามาเผยแผ่คริสตศาสนาในสยาม  เพียงแต่แวะเข้ามายังดินแดนแหลมทองเพื่อรอเปลี่ยนผ่านไปยังประเทศอื่นๆ ในแถบภูมิภาค  แม้สุดท้ายมิชชันนารีหลายคนก็ปักหลักสร้างครอบครัวในสยามไปเลย

อาจารย์ธเนศกล่าวว่า พระจอมเกล้า และพระปิ่นเกล้า ค่อนข้างโปรดมิชชันนารีเหล่านี้มาก นั่นเพราะบุคคลเหล่านี้ทำให้เกิดการเรียนรู้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันระหว่าง ชาวสยามและชาวอเมริกั  กระทั่งหมอบรัดเลย์ หรือ แดน บีช แบรดลีย์ (Dan Beach Bradley, M.D.)   ชาวอเมริกัน ถึงขนาดถ่ายทอดเป็นองค์ความรู้ เรื่องราวต่างๆ ที่เกี่ยวกับชาติตะวันตกเป็นฉบับภาษาไทยกันเลยทีเดียว ต้องถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดา ที่พระมหากษัตริย์ไทยเอาความรู้ต่างๆมาใช้จากการเรียนศาสนามาตีความ  ขณะที่ คนสยามเองก็ไม่ได้เปลี่ยนไปนับถือพระเจ้าตามแบบตะวันตกมากนัก

ภาพการเจริญสัมพันธไมตรีกับชาติตะวันตกของรัชกาลที่ 4 
"การเรียนรู้วิวัฒนาการชาติ ตะวันตกของผู้นำสยาม โดยผ่านภาษาไทย เป็นปรีชาญาณความสามารถที่ได้เปรียบของรัชกาลที่ 4 เพราะการถ่ายทอดวัฒนธรรมตะวันตกโดยสร้างผ่านภาษาไทยพร้อมกับมีการพิมพ์เป็น ตัวอักษรในช่วงเปลี่ยนผ่ายสยามเป็นเรื่องที่ใหม่ในยุคสมัยนั้น  กลายเป็นเงื่อนไขที่เปิดโอกาสให้สยามได้รับรู้โลกภายนอกได้มากขึ้น และเชื่อว่า การที่สยามรอดพ้นจากการเป็นเมืองขึ้นในการล่าอาณานิคมในยุคนั้นก็ด้วยเพราะ พระจอมเกล้าและพระปิ่นเกล้าทรงผ่อนปรนและเป็นมิตรกับชาติมหาอำนาจจนเราได้ รับเอกราชถึงทุกวันนี้" รศ.ธเนศ กล่าว

พระมหากษัตริย์สองพระองค์แห่งกรุงสยาม (ภาพด้านบนมุมซ้ายและขวา)
 ภาพเหมือนประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน วาดโดยเรมบรันด์ พีล

น้อมรำลึกถึงพระมหา กษัตริย์พระองค์ที่สองหรือSecond King พระองค์เดียวในสมัยรัตนโกสินทร์ ที่ช่วยทำให้ศักดิ์และศรีไทยเคียงบ่าเคียงไหล่ชนตะวันตก

การรู้เท่าทันมีประโยชน์อย่างไรในช่วงที่ชาติตะวันตกเข้าถึงประเทศไทยในอดีต หากย้อนดูคำตอบในสมัยของ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่สองหรือที่ต่างชาติเรียกกันว่า "Second King" ในสมัยรัชกาลที่สี่ นั้น เราก็จะพบคำตอบที่ว่า ถึงแม้ความรู้และความก้าวหน้าที่มาจากประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกจะเข้ามาทำ คุณประโยชน์ให้หลายประการ แต่ความจริงที่เกิดในความยิ่งใหญ่ ก็อาจเป็นดาบสองคมที่บ่อนทำลายและเอาเปรียบได้โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน การรู้เท่าทันสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น จึงเป็นการป้องกันการถูกความก้าวหน้าเอาเปรียบได้เป็นอย่างดี

 ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดงานเสวนา "พระปิ่นเกล้าฯ อ่าน เขียน เรียน 'ฝรั่ง' รู้เท่าทันตะวันตก" โดยเป็นการพูดถึงบทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยในยุคที่ชาติตะวันตกมีอิทธิพลต่อ ประเทศ อีกทั้งเป็นการน้อมรำลึกถึงวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว 7 มกราคม ร่วมแบ่งปันความรู้ผ่านผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์นำโดย อาจารย์ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ไกรฤกษ์ นานา นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ผู้สนใจประวัติศาสตร์ในรัชการที่ 4 และรัชการที่ 5,อาจารย์เอกสุดา สิงห์ลำพอง อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ คณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร ดำเนินรายการโดย อาจารย์ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ อาจารย์ประจำภาควิชาศิลปะ คณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากร

 "เจ้าฟ้าน้อย" กษัตริย์แห่งวังหน้า

 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระนามเดิมเมื่อตอนประสูติว่า "เจ้าฟ้าจุฑามณี" หรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า "เจ้าฟ้าน้อย" พระองค์ทรงมีความโปรดปรานในเรื่องราวความรู้ทางโลกตะวันตกยิ่งนัก และเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถในความรู้แบบตะวันตกพระองค์หนึ่ง โดยเฉพาะความสนพระทัยในกิจการทหารเรือ ดังมีบันทึกไว้ในหนังสือเรื่อง "ประวัติทหารเรือไทย" ว่า ทรงต่อเรือกลไฟได้จากการศึกษาด้วยพระองค์เอง และเป็นผู้นำในเรื่องเรือสมัยใหม่ขณะที่ในยุคนั้นไม่มีใครเชื่อเลยว่าเหล็ก จะสามารถลอยน้ำได้

เพราะความสนพระทัยดังกล่าวทำให้ทุกครั้งที่มีเรือรบจากต่างประเทศเข้ามา เยี่ยมประเทศไทย พระองค์จะมักจะไปเยี่ยมเยียนเพื่อดูการต่อเรือและต้นแบบการตกแต่งจากเรือของ ชาวต่างชาติเสมอ อีกทั้งยังทรงเป็นผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้าที่มีความสำคัญต่อวงการทหาร เรือของไทย ด้วยเหตุนี้จึงถือว่าทรงเป็นผู้บัญชาการทหารเรือพระองค์แรกอีกด้วย

สยามในการปกครองของสองกษัตริย์

เมื่อครั้งที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้อัญเชิญพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัวซึ่งทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหารให้ลาสิขาบทออกมาเป็นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ได้กล่าวเอาไว้ว่า หากจะอัญเชิญให้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ขอให้พระอนุชาซึ่งก็คือเจ้าฟ้าจุฑามณีเป็นกษัตริย์ด้วย พระองค์ทรงให้เหตุผลว่าพระชะตาของพระอนุชานั้นแรง และโชคชะตาได้กำหนดไว้แล้วว่าจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ไกรฤกษ์ให้ข้อมูลในเรื่องนี้ว่า ได้มีการได้ค้นพบเอกสารที่พระองค์ท่านทรงเขียนถึงตำแหน่งของกษัตริย์ในสมัย นั้นว่า พระมหากษัตริย์พระองค์แรกก็เป็นเสมือนประธานาธิบดี ส่วนกษัตริย์องค์ที่สองก็เป็นเสมือนรองประธานาธิบดี หากมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นกับประธานาธิบดีแล้ว รองประธานาธิบดีก็สามารถขึ้นปกครองประเทศได้เช่นกัน ซึ่งเป็นเหตุผลในการอธิบายให้ชนชาติตะวันตกเข้าใจได้ง่าย
 ส่วนการที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง มีความสามารถทางการทหารนั้น แท้ที่จริงทรงแสดงความสามารถด้านนี้ตั้งแต่ในสมัยรัชกาลที่สามแล้ว เห็นได้จากการที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง รัชกาลที่สาม ทรงให้พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจุฑามณีดูแลเรื่องกรมทหาร พระองค์จึงมีทหารอยู่ในบังคับบัญชาโดยเฉพาะกองทหารต่างประเทศซึ่งเป็นชาว เขมร และกองทหารชาวญวน จำนวนแปดร้อยถึงหนึ่งพันคน

ไกรฤกษ์ นำเสนอว่า การขึ้นครองราชบัลลังก์ของประเทศไทยตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จากกษัตริย์รัชกาลที่หนึ่งจนถึงรัชกาลที่ห้านั้น เป็นฝีมือและบทบาทของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในตระกูลบุนนาคทั้งสิ้น และการที่รัชกาลที่สี่ขึ้นครองราชย์โดยที่ไม่มีกำลังในมือเลยจะเป็นสิ่งที่ ล่อแหลมมากกับการมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ฉะนั้น การมีพระอนุชาธิราช ซึ่งเป็นสายโลหิตเดียวกัน เกิดจากพระราชินีองค์เดียวกันมาเป็นกำลังสำคัญ ทำให้พระองค์มีความไว้วางพระทัยในพระอนุชาพระองค์นี้มากกว่าทุกพระองค์ ส่วนคำกล่าวที่ว่าพระชะตาของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า "แรง" น่าจะเป็นเพราะได้ทรงดูแลกรมทหารมาตั้งแต่รัชกาลที่สามแล้วนั่นเอง

 อีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือการที่พระมหากษัตริย์ทั้งสองทรงมี "ทูต" ประจำพระองค์ ซึ่งสมัยนั้นมีหน้าที่เข้าเฝ้าผู้นำต่างชาติ มีหลักฐานปรากฎว่าครั้งหนึ่งทูตของพระมหากษัตริย์ทั้งสองเข้าเฝ้าจักรพรรดิน โปเลียนที่ 3 พร้อมกัน ไกรฤกษ์แสดงความเห็นว่าการที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าทรงมีราชทูตส่วน พระองค์นั้น อาจใช้คำสมัยใหม่เรียกได้ว่ามีหน้าที่เป็น "สปาย" ซึ่งราชทูตก็จะกลับมาทูลเกล้าถวายการรายงานในแต่ละครั้ง

 พระมหากษัตริย์ผู้ทรงคิดทันตะวันตก

การเรียนรู้วัฒนธรรมตะวันตกเป็นความเห็นร่วมกันของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ที่ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการเปิดรับความรู้และแบบแผนของชาติตะวันตก เพราะในขณะนั้นฝรั่งเศสมีอำนาจอยู่ในยุคการล่าอาณานิคม หากไม่หาความรู้เพื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ในอนาคตแล้ว บ้านเมืองอาจจะตกอยู่ในอันตราย

ไกรฤกษ์ได้กล่าวถึงความสามารถด้านภาษาอังกฤษของพระบาทสมเด็จพระปิ่น เกล้าฯ โดยอ้างถึงหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในปีค.ศ.1866 ซึ่งมีความเห็นของ เซอร์จอห์น เบาว์ริง เมื่อครั้งเข้ามาติดต่อค้าขายกับประเทศสยาม บางตอนกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวว่า "He Spoke pure English" หมายถึง พระองค์ทรงพูดภาษาอังกฤษแบบไม่มีที่ติ และยังัระบุอีกว่าลายพระหัตถ์ของพระองค์นั้นก็สวยงามมาก ราวกับลายมือของอาจารย์ชาวยุโรป นอกจากนี้ยังทรงมีรสนิยมด้านวรรณกรรม วรรณคดี โดยในพระราชวังของพระองค์มีห้องสมุดที่เต็มไปด้วยหนังสือจากยุโรปโดยเฉพาะ หนังสือภาษาอังกฤษ

ภาพวาดแห่งความสัมพันธ์

 จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา คือผู้นำประเทศที่มีชื่อเสียงและอำนาจมากที่สุดในสมัยนั้น และในครั้งหนึ่งผู้นำที่ยิ่งใหญ่เคยให้เกียรติแก่ประเทศเล็กๆ อย่างสยาม  อาจารย์เอกสุดา มองว่า หากพูดถึงจอร์จ วอชิงตันแล้ว คนไทยมักจะนึกถึงธนบัตรของประเทศสหรัฐฯ หรือภาพสลักขนาดยักษ์ที่ "เมาต์รัชมอร์" แต่อีกภาพหนึ่งที่คนไม่รู้จักกันนักคือ จอร์จ วอชิงตัน ในแง่มุมของความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับกษัตริย์ไทย

จอร์จ วอชิงตัน เคยสั่งให้ทูตของประเทศสหรัฐฯ นำเครื่องราชบรรณาการมาทูลเกล้าถวายแก่กษัตริย์ทั้งสองในสมัยรัชกาลที่สี่ มีบันทึกที่กรมศิลปากรได้แปลเอาไว้ว่า เป็นหนึ่งในสองภาพที่ทางกงสุลใหญ่ของสหรัฐอเมริกาที่ประจำจักรวรรดิญี่ปุ่น ในสมัยนั้น ได้รับการมอบหมายจากประธานาธิบดีให้เป็นทูตเจรจาการค้ากับประเทศไทย และนำเครื่องราชบรรณาการมาทูลเกล้าถวายพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ โดยมีรายละเอียดว่าเครื่องราชบรรณาการของรัชกาลที่สี่มีทั้งหมด 18 รายการ ส่วนของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ มี 13 รายการ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือภาพเหมือนของประธานาธิบดีจอร์จ วอชิงตัน

นอกจากนี้ ความน่าสนใจของเครื่องราชบรรณาการที่ทางทูตสหรัฐฯ ได้นำมาถวายให้กับพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ของไทยนั้น เรียกได้ว่า "ทำการบ้านมาดี" เครื่องราชบรรณาการที่ได้รับเหมือนกันของกษัตริย์ทั้งสองพระองค์นอกเหนือจาก ภาพวาดของนายพลวอชิงตันแล้ว ยังมีภาพวาดวิวทิวทัศน์ของเมืองต่างๆ อีกประมาณ 4 -5 ชิ้นด้วยกัน และยังมีกระจกล้อมกรอบ ปืน หนังสือสารานุกรม หนังสือแผนที่ ส่วนของที่ได้รับแตกต่างกันนั้น ทางสหรัฐฯ ได้ทำการศึกษาว่าพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์มีความสนใจอย่างไรก็นำมาถวาย ตามความสนพระทัย ดังของที่ถวายให้รัชกาลที่สี่คือ "กล้องจุลทรรศน์" เพราะพระองค์ท่านมีความสนใจทางด้านดาราศาสตร์และเป็นนักวิทยาศาสตร์พระองค์ หนึ่ง ส่วนของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทใด นั่นแสดงให้เห็นว่านอกเหนือจากพระปรีชาในเรื่องการต่อเรือกลไฟด้วยตัว พระองค์เองแล้ว ยังสนพระทัยในเรื่องของเทคโนโลยีอื่นๆ อย่างเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกด้วย

 ผู้นำตะวันตกได้ชื่นชมพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ในฐานะกษัตริย์ที่มีความคิดก้าวหน้าแบบประเทศตะวันตก ซึ่งทั้งหมดนั้นเกิดจากจุดมุ่งหมายเพื่อให้ประเทศไทยไม่ล้าหลังในยุคของการ ล่าอาณานิคม แม้กระทั่งเมื่อเสด็จสวรรคตไปแล้วเรื่องราวของพระองค์ก็ยังได้รับการตีพิมพ์ เผยแพร่ในทวีปยุโรปอย่างกว้างขวาง จึงเรียกได้ว่าเป็นพระมหากษัตริย์องค์ที่สองที่มีชื่อเสียงพระองค์หนึ่ง
 "เมื่อตอนที่เซอร์จอห์น เบาว์ริ่งได้มาเยือนและทำสนธิสัญญาการค้ากับสยามนั้น นอกจากจะต้องมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ในพระบรมหาราชวังแล้ว ยังต้องมาเข้าเฝ้าสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ที่วังหน้าด้วยเช่นกัน ถือเป็นการถวายพระเกียรติพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์อย่างเท่าเทียม" ไกรฤกษ์ กล่าว
 ด้านอาจารย์ธเนศ ได้เปิดประเด็นที่ว่า เหตุใดประเทศสยามจึงต้องสนใจตะวันตก สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมีความลึกซึ้งมากจนแสดงออกมาในรูปแบบของความสนใจ ความใส่ใจ นำปรับเอามาใช้ ถึงขั้นการปรับวัฒนธรรม การปฏิรูปการปกครอง และระบบการศึกษาในสยาม

 "หากมองให้กว้างทั่วทั้งในเอเชีย ศตวรรษนั้นเป็นช่วงที่ยุโรปกำลังเป็นมหาอำนาจระดับโลก ตั้งแต่ความสำเร็จของการเดินทางรอบโลก ไปจนถึงการเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม แต่ว่าการสร้างอาณานิคมในศตวรรษที่ 19 นั้นเป็นยุคอาณานิคมแบบใหม่ที่มีความซับซ้อน เรียกว่ามีอิทธิฤทธิ์และอานุภาพที่สูงมากกว่าเพราะมากับเทคโนโลยีที่เป็นผล มาจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นยุโรปในช่วงนั้นจึงไม่เหมือนช่วงอื่นๆ..."

 "...ถ้าดูในประเทศเพื่อนบ้านเรา ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น จนถึงชวา ไม่มีรัฐไหนที่สนใจและเปิดที่จะรับและเรียนรู้กับตะวันตกเท่ากับกรุงสยาม แม้ว่าประเทศเหล่านั้นจะใหญ่โต มีความรู้ มีผู้เชี่ยวชาญ มีนักคิด แต่ผู้นำของประเทศเหล่านั้นไม่เปิดช่องให้กับการรับตะวันตกแบบที่เรียกว่า รับโดยสันติ ยกเว้นผู้นำกรุงสยามที่นอกจากเปิดรับตะวันตกแล้วยังสามารถทำให้เกิดสัมพันธ ภาพที่พิเศษมาก"
อาจารย์ธเนศ เสนออีกว่า สยามในยุคนั้นสามารถผสมผสานความรู้ดั้งเดิมเข้ากับความรู้แบบตะวันตกซึ่ง เป็นความรู้แผนใหม่ที่เข้าสู่สยามได้อย่างกลมกลืน

 "เราเอาความรู้แบบตะวันตกและแบบไทยเข้ามาวิพากษ์กัน เรามีความรู้ตามแบบโบราณอย่างเรื่องไตรภูมิของไทย มีเทพบุตร เทพธิดา กุมารทอง แต่เมื่อความรู้ตะวันตกเข้ามา ก็เกิดคำถามว่า ตกลงไตรภูมิยังใช้ได้ไหม ประเทศไทยเอาการเกิดโลก คัมภีร์ไบเบิล  คัมภีร์จากจีนบ้าง คัมภีร์ต่างๆ เอามารวมหมด แล้วก็ตบท้ายบอกว่าทั้งหมดนั้นทางพระพุทธศาสนาสามารถอธิบายได้ว่าอยู่ในวงจร การเกิดและการดับในตรรกะของศาสนาพุทธ..."

 "...ผมคิดว่านี้เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้การรับความรู้แบบตะวันตก นั้นสามารถดำเนินไปได้ โดยที่ไม่ถูกมองเป็นเป็นการบ่อนทำลายหรือเป็นศัตรูต่ออำนาจของราชวงศ์หรือ รัฐบาลสยามเหมือนอย่างที่ประเทศอื่นต่างกังวลว่าความรู้ที่อื่นจะเข้ามา ทำลายความรู้แบบตั้งเดิมที่เขามี แต่ผู้นำไทยสามารถนำความรู้แบบพระพุทธศาสนามาตีความความรู้แบบตะวันตกและผสม ผสานความรู้ทั้งสองสายจนเข้ากันได้ ไม่ได้ขัดกัน”  อาจารย์ธเนศ สรุป


Saturday, January 8, 2011


AS SEEN ON TV: THE KING OF SIAM

KING MONGKUT

AS SEEN IN:'Anna And The King'
AS PLAYED BY:Yul Brynner

From Wikipedia:
Klao Chao Yu Hua (or Rama IV, known in foreign countries as King Mongkut (18 October 1804 – 1 October 1868), was the fourth monarch of Siam under the House of Chakri, ruling from 1851-1868. He was one of the most revered monarchs of the country.

Outside of Thailand he is best-known as the King in the play and film "The King and I", based on the 1956 film "Anna and the King of Siam" - in turn based on the writing of Anna Leonowens about her six years at his court. 

 
In his reign, the pressure of Western expansionism was felt for the first time in Siam. Mongkut embraced Western innovations and initiated the modernization of Siam, both in technology and culture—earning him the epithet "The Father of Science and Technology" in Siam.

Mongkut was also known for his appointment of his brother, Prince Chutamani, as vice-king. Prince Chutamani was crowned in 1851 as King Pinklao. Mongkut himself assured that Pinklao should be respected with equal honor to himself.

Mongkut's reign was also the time when the power of the House of Bunnak reached the zenith and became the most powerful noble family of Siam. 


In 1862, on recommendation by Tan Kim Ching in Singapore, an English woman named Anna Leonowens, whose influence was later the subject of great Thai controversy, was hired. It is still debated how much this affected the worldview of one of his sons, Prince Chulalongkorn, who succeeded to the throne. Her story would become the inspiration for the Rodgers and Hammerstein musical "The King and I", as well as the Hollywood movies of the same title, which, because of their incorrect historical references and supposedly disrespectful treatment of King Mongkut's character, were for some time banned in Thailand as the Thai government and people considered them to be lèse majesté (an illegal insult to the king or monarchy).


As played by Yul Brynner, King Mongkut is a multiversal - he would look like this in the fictional dimensions of theater, movies, and television....

BCnU, et cetera et cetera, et cetera!







Operation Paper: The United States and Drugs in Thailand and Burma

http://japanfocus.org
Peter Dale Scott

This Chapter 3 from my newly published American War Machine describes America’s Operation Paper, a November 1950 program to arm and supply the Kuomintang remnant troops of General Li Mi in Burma. Operation Paper itself was relatively short-lived, but it had two long-term consequences that have not been adequately discussed.

The first is that the CIA was launched into its fifty-year history of indirectly facilitating and overseeing forces engaged in vastly expanding the production of opiates, in successive areas not previously major in the international traffic. This is a history that stretches, almost continuously, from Thailand and Burma through Laos until the 1970s, and then to present-day Afghanistan.

The second is that the resulting drug proceeds helped supplement the CIA’s efforts to develop its own Asian proxy armies, initially defensive but increasingly offensive. This led in 1959 to the initiation of armed conflict in the previously neutral and Buddhist nation of Laos, an unwinnable hot war that soon spread to Vietnam.

The decision to launch Operation Paper was made by a small cabal inside the Office of Policy Coordination (OPC), notably Desmond Fitzgerald and Richard Stilwell in conjunction  
with former OSS Chief William Donovan,

who favored the rollback of communism over the official State Department policy of containment.
My book sees the expanding offensive efforts in Southeast Asia,
after switching from Li Mi’s forces to
the CIA’s Thai proxy army PARU,
as a watershed in the conversion of America’s post-war defense establishment,
which was concerned above all with preserving the status quo in western Europe,
into today’s offensive American War Machine, with actions centered on Southeast
and Central Asia.



The writing of American War Machine has given me a clearer picture of America’s overall responsibility for the huge increases in global drug trafficking since World War II. This is exemplified by the more than doubling of Afghan opium drug production since the U.S. invaded that country in 2001. But the U.S. responsibility for the present dominant role of Afghanistan in the global heroin traffic has merely replicated what had happened earlier in Burma, Thailand, and Laos between the late 1940s and the 1970s. These countries also only became factors in the international drug traffic as a result of CIA assistance (after the French, in the case of Laos) to what would otherwise have been only local traffickers.


It is not too much to conclude that, for such larger reasons of policy, U.S. authorities actually suborned at times an increase of illicit heroin traffic.
An understanding of this phenomenon must inform future scholarly work on drug trafficking in Asia.1
If opium could be useful in achieving victory, the pattern was clear. We would use opium.2
Thailand and Drugs: A Personal Preface

It is now clearly established that in November 1950, President Truman, faced with large numbers of Chinese communist troops pouring into Korea, approved an operation, code-named Operation Paper, to prepare remnant Kuomintang (KMT) forces in Burma for a countervailing invasion of Yunnan. It is clear also that these troops, the so-called 93rd Division under KMT General Li Mi, were already involved in drug trafficking. It is clear finally that, as we shall see, Truman belatedly approved a supply operation to drug traffickers that had already been in existence for some time.




The purpose of this chapter is to explore the process that led up to Truman’s validation of a program to use drug proxies in Burma. It will be an exercise in deep history, raising questions that the archival records presently available cannot definitively answer. Some of most relevant records, chiefly those of the Office of Policy Coordination (OPC) that initiated Operation Paper, are still closed to public view. Others, such as those of the World Commerce Corporation (WCC) or of the Willis Bird import-export firm in Bangkok,
would probably tell us little even if we had them. And some of the most important events, such as the path by which Thai Opium Monopoly opium soon reached the streets of Boston, were probably never documented at all.

The topic of this chapter is a major one in the postwar history of China, Southeast Asia, and the global drug traffic. With needed U.S. support, above all in the form of airlift and arms, Li Mi’s irregulars were soon marketing, in the words of their U.S. overseer Richard Stilwell (chief of OPC Far East), “almost a third of the world’s opium supply.”3
Burton Hersh, who transmits Stilwell’s comment, adds his own remark that
Li Mi’s troops “developed over time into an important commercial asset for the CIA.”
Based on what is currently known, I would express the relationship differently: Li Mi’s drug-trafficking troops continued to be of major importance to the CIA—but as self-supporting, off-the-books allies in the struggle to secure Southeast Asia against communist advances, not as a source of income for the CIA itself.

Overview

In the 1950s, after World War II, the chances seemed greater than ever before for a more peaceful, orderly, legal, and open world. Even the world’s two great superpowers, the United States and the Soviet Union, had agreed on rules and procedures for mediating their serious differences through a neutral body, the United Nations. The United States was then wealthy enough to finance postwar reconstruction in devastated Europe and later fund international programs in fields such as health and agriculture in the newly liberated former colonies of the Third World.

But the United Nations was not destined to remain the theater for the resolution of international conflict. One major reason for this was that the Soviet Union, the United States, and then, after 1949, China all pursued covert policies, low key at first, that brought them increasingly into conflict and proxy war.

The Marxist-Leninist nations of the Soviet Union and China lent support to other Marxist-Leninist parties and movements, some of them insurrectionary, in other parts of the world. Washington’s often inaccurate perception saw these parties and movements as proxies for Soviet and/or Chinese power. Thus, much of the Cold War came to be fought covertly in areas, like Southeast Asia, about which both the United States and the Soviet Union were stunningly ignorant.

From the very beginning of the postwar era, Washington looked for proxies of its own to combat the threat it perceived of world revolution. Some of these proxies are now virtually forgotten, such as the Ukrainian guerrillas, originally organized by Hitler’s SS, who fought an OPC-backed losing battle against Russia into the early 1950s. Some, like the mafias in Italy and Marseille, soon outgrew their U.S. support to become de facto regional players in their own right.

But one of America’s early proxy armies, the remnants of Nationalist Chinese KMT forces in Burma and later Thailand, would continue to receive U.S. support into the 1960s. Like the mafias in Europe and the yakuza in Japan, these drug proxies had the advantage for secrecy of being off-the-books assets, largely self-supporting through their drug dealing, and firmly anticommunist.

The OPC and CIA’s initial support of this program, by reestablishing a major drug traffic out of Southeast Asia, helped institutionalize what became a CIA habit of turning to drug-supported off-the-books assets for fighting wars wherever there appeared to be a threat to America’s access to oil and other resources—in Indochina from the 1950s through the 1970s, in Afghanistan and Central America in the 1980s, in Colombia in the 1990s, and again in Afghanistan in 2001.7


Harvesting opium in Karenni state, Burma

The use of drug proxies, at odds with Washington’s official antidrug policies, had to remain secret. This meant that in practice major programs with long-term consequences were initiated and administered by small cliques with U.S. intelligence ties that were almost invisible in Washington and still less visible to the American people. These cliques of like-minded individuals, at ease in working with traffickers and other criminals, were in turn part of a cabal supported by elite groups at high levels.

The U.S. use of the drug traffic from the KMT troops in Burma had momentous consequences for the whole of Southeast Asia. For the OPC infrastructure for the KMT troops
(Sea Supply Inc., see below) was expanded
and modified, with support from
William Donovan and Allen Dulles,
to develop and support an indigenous guerrilla force in Thailand, PARU. PARU, far less publicized than the KMT troops, did as much or more to influence U.S. history. For PARU’s success in helping to guarantee the independence of Thailand encouraged the United States in the 1960s to use PARU in Laos and Vietnam as well.

Thus, PARU’s early successes led the United States, incrementally, into first covert and eventually overt warfare in Laos and Vietnam. We shall see that, according to its American organizer James William [“Bill”] Lair

PARU, like the KMT forces, was in its early stage at least partly financed by drugs. 

In short, some Americans had a predictable and almost continuous habit of turning to the drug traffic for off-the-books assets. This recourse began as a curious exception to the larger U.S. policy of seeking political resolution of international conflicts through the United Nations. It also pitted the regular U.S. diplomats of the State Department against the Cold Warriors of the secret agency, OPC, that had these drug assets at its disposal. This was not the only time that a small U.S. bureaucratic cabal, facing internal opposition but enjoying high-level backing, could launch an operation that became far larger than originally authorized.
The pattern was repeated, with remarkable similarities, in Afghanistan in 1979. 
Once again, as in Thailand, the original stated goal was the defense of the local nation and the containment of the communist troops threatening to subdue it. 
Once again this goal was achieved. But once again the success of the initial defensive campaign created a momentum for expansion into a campaign of offensive rollback that led to our present unpromising confrontation with more and more elements of Islam.8

The cumulative history of these U.S. interventions, both defensive (successful) and offensive (catastrophic), has built and still builds on itself. Successes are seen as opportunities to move forward: it is hard for mediocre minds not to draw bad lessons from them. Failures (as in Vietnam) are remembered even more vividly as reasons to prove that one is not a loser.

It is thus important to analyze this recurring pattern of success leading to costly failure, to free ourselves from it. For it is clear that the price of imperial overstretch has been increasing over time.

With this end in mind, I shall now explore key moments in the off-the-books story of Southeast Asian drug proxies and the cliques that have managed them, a trail that leads from Thailand after World War II to the U.S. occupations of Iraq and Afghanistan today.

The Origins of the CIA Drug Connection in Thailand

To understand the CIA’s involvement in the Southeast Asian drug traffic after World War II, one must go back to nineteenth-century opium policies of the British Empire. Siamese government efforts to prohibit the smoking of opium ended in 1852, when King Mongkut (Rama IV), bowing to British pressures, established a Royal Opium Franchise, which was then farmed out to Siamese Chinese.9 Three years later, under the terms of the unequal Bowring Treaty, Siam accepted British opium free of duty, with the proviso that it was to be sold only to the Royal Franchise. (A year later, in 1856, a similar agreement was negotiated with the United States.) The opium farm became a source of wealth and power to the royal government and also to the Chinese secret societies or triads that operated it. 
Opium dependency also had the effect of easing Siam into the ways of Western capitalism by bringing “peasants into the cash economy as modern consumers.”10

Until it was finally abolished in 1959, proceeds from the Opium Franchise (as in other parts of Southeast Asia) provided up to 20 percent of Siamese government revenue.11 This is one reason why the opium franchise ceased to be farmed out to Chinese businessmen in 1907 and became (as again in other parts of Southeast Asia) a government monopoly. Another was the desire to reduce the influence of Chinese secret societies and encourage Chinese assimilation into Siam. As a result, the power of the secret societies did generally decline in the twentieth century, except for a revival under the Japanese occupation during World War II. By this time the KMT, operating under cover, was the most powerful force in the Bangkok Chinese community, with overlapping links to Tai Li’s KMT intelligence network and also the drug traffic.12

Although the official source of opium for the Siamese franchise was India, the relatively high cost of Indian opium encouraged more and more smuggling of opium from the Shan states of eastern Burma. With the gradual outlawing of the opium traffic in the early twentieth century, the British banned the use of Shan opium inside Burma but continued to tax the Shan states as before. In this way the British tacitly encouraged the export of Shan opium to the Thai market.13

When Thailand declared war against Britain in January 1942, Shan opium became the only source for the lucrative monopoly. This helps explain the 1942 invasion of the opium-producing Shan states by the Thai Northern (Prayap) army, in parallel to the Japanese expulsion of the British from Burma.14 In January 1943, as it became clearer that Japan would not win the war, the Thai premier Phibun Songkhram used the Northern Army in Kengtung, with its control of Shan opium, to open relations with the Chinese armies they had been fighting, which had by now retreated across the Yunnan–Burma frontier.15 One of these was the 93rd Division, at Meng Hai in the Thai Lü district of Sipsongphanna (Xishuangbanna) in Yunnan.16 The two sides, both engaged in the same lucrative opium traffic, quickly agreed to cease hostilities. (According to an Office of Strategic Services [OSS] observer, the warlord generals of Yunnan, Lung Yun, and his cousin Lu Han, commander of the 93rd Division, were busy smuggling opium from Yunnan across the border into Burma and Thailand.17)

An OSS team of Seri Thai (Free Thais), led by Lieutenant Colonel Khap Kunchon (Kharb Kunjara) and ostensibly under the direction of OSS Kunming, made contact with both sides in March–April 1944.18 When Khap arrived at the 93rd Division Headquarters, “he discovered that an informal ceasefire had been observed along the border between southern Yunnan and the Shan States [in Burma] since early 1943 with the arrangement being cemented from time to time by gifts of Thai whisky, cigarettes and guns presented to officers of the 93rd Division by their Thai counterparts.”19

Khap, with the permission of his OSS superior Nicol Smith, sent a message from Menghai to a former student of his now with the Thai Northern Army in Kengtung.20 “The letter stressed the need for Thai forces to switch sides at the appropriate moment and asked for the names of Thai officers in the area who would be willing to cooperate with the Allies.”21 Khap’s letter, with its apparent OSS endorsement, reached Phibun in Bangkok and led to an uninterrupted postwar collaboration between the Northern Army and the 93rd Division.22

Khap, however, was a controversial figure inside OSS, mistrusted above all for his dealings with Tai Li. We learn from Reynolds’s well-documented history that Tai Li and Khap, in conjunction with the original OSS China chief Milton Miles, had been concertedly pushing a plan to turn the Thai Northern Army against the Japanese.23 But John Coughlin, Miles’s successor as OSS chief in China, consulted some months later with Donovan in Washington and expressed doubts about the scheme. A follow-up memo to Donovan questioned Khap’s motives:
I . . . doubt that he can be trusted. . . . I feel that he will make deals with Tai Li of which I will not be informed. . . . I am at a loss to figure out Tai Li’s extreme interest in him, unless there is some agreement between them that I know nothing about.24
Like his sources, Reynolds’s archival history is tactfully silent on the topic of opium. But Tai Li’s opium connection to the KMT in Thailand and Burma was well known to OSS and may well have been on Coughlin’s mind.25


KMT forces in Burma, 1953

The Northern Army–93rd Division–KMT connection had enormous consequences. For the next three decades, Shan opium would be the source of revenue and power for the KMT in Burma and both the KMT and the Northern Army in Bangkok. All of Thailand’s military leaders between 1947 and 1975—Phin Chunhawan, his son-in-law Phao Sriyanon, Sarit Thanarat, Thanom Kittikachorn, Prapat Charusathien, and Kriangsak Chomanand—were officers from the Northern Army.

Successively their regimes dominated and profited from the opium supplied by the KMT 93rd Division that after the war reestablished itself in Burma.26 This was true from the military coup in Bangkok of November 1947 until Kriangsak’s resignation in 1980.27 A series of coups d’état—in 1947, 1951, 1957, and 1975—can be analyzed in part as conflicts over control of the drug trade.28

As in Indonesia and other Asian countries,
the generals’ business affairs were
handled by local Chinese. 
The Chinese banking partner of
Phin Chunhawan and Phao Sriyanon
was Chin Sophonpanich, a member of
the Free Thai movement who in
the postwar years enabled Phao
to die as “one of the richest men
in the world.”29
When in 1957 Sarit displaced Phao and took over both the government and the drug trade, both Phao and Chin had to flee the country.30

The United States Helps Rebuild the Postwar Drug Connection

To appreciate the significance of the connection we are discussing, we must keep in mind that, by 1956, the KMT had been driven from the Chinese mainland and that Chinese production of opium, even in remote mountainous Yunnan, had been virtually eliminated. The disruptions of a world war and revolution had created an opportunity to terminate the opium problem in the Far East. Instead, U.S. covert support for the Thai and KMT drug traffickers converted Southeast Asia, for more than two decades, into the world’s major source of opium and heroin.

The origins of the U.S. interface with these drug traffickers in Thailand and Burma
are obscure. They appear, however,
to have involved principally four men:
William Donovan; his British ally
Sir William Stephenson, the organizer with
Donovan of the World Commerce Corporation
(WCC); Paul Helliwell; and Willis Bird
(both veterans of OSS China).

After World War II, Sir William Stephenson’s WCC “became very active in Bangkok,” and Stephenson himself established a strong personal relationship with King Rama IX.31

http://thaienews.blogspot.com/2011/02/blog-post_2905.html

ธรณีนี่นี้เป็นพยาน. . เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง : 56 ปี การประหารชีวิตจำเลยคดีสวรรคต 17 กุมภาพันธ์ 2498 - 2554
โดย ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
ที่มา เฟซบุ๊ค สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

เมื่อ 6 ปีก่อน ในระหว่างที่ผมเขียนบทความเรื่อง "50 ปี การประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2498" (ดาวน์โหลด pdf บทความนี้ได้ที่นี่่ http://www.enlightened-jurists.com/page/136 ) ประเด็นหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกโกรธมาก คือ การที่หนังสือ The Revolutionary King (2001) ที่เขียนโดย วิลเลียม สตีเวนสัน (William Stevenson) 
ได้ให้ข้อมูลที่ผิดบางอย่างเกี่ยวกับการประหารชีวิตจำเลยคดีสวรรคตในหลวง อานันท์

ดังที่หลายคนอาจจะทราบแล้ว สตีเวนสัน คือผู้เขียนหนังสือ A Man Called Intrepid ซึ่งในหลวงทรงแปลเป็นภาษาไทยในชื่อ "นายอินทร ผู้ปิดทองหลังพระ" ในการค้นคว้าเพื่อเขียน The Revolutionary King สตี เวนสัน ได้รับพระบรมราชานุญาตให้มาใช้ชีวิตในประเทศไทยในแวดวงราชสำนัก ได้สัมภาษณ์สนทนากับทั้งในหลวง พระราชินี พระเทพ พระราชชนนี ข้าราชบริพารในพระองค์และผู้ใกล้ชิดราชสำนักจำนวนมาก น่าเสียดายที่หนังสือของสตีเวนสัน ไม่มีเชิงอรรถอ้างอิงที่แน่นอน ทำให้เราไม่สามารถบอกได้ว่า ข้อมูลใดในหนังสือของเขา เอามาจากใครบ้าง อย่างไรก็ตาม คงไม่เป็นการเกินเลยไปที่จะคิดว่า ข้อมูลที่เกี่ยวกับราชสำนักส่วนใหญ่ในหนังสือของเขา เอามาจากการเล่าของคนในแวดวงราชสำนักเอง

ในหน้า 111 ของ The Revolutionary King สตีเวนสัน เขียนในลักษณะที่ว่าในหลวงทรงตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลของการดำเนินคดี สวรรคตของรัฐบาลในขณะนั้นภายใต้การบงการของกลุ่มพิบูล-เผ่า รวมทั้งการพิพากษาให้ประหารชีวิตจำเลย สตีเวนสันอ้างว่า ในหลวงทรงกล่าวในภายหลัง (สตีเวนสันไม่ได้ระบุว่า เอาคำพูดของในหลวงตอนนี้มาจากที่ใด)
"กระบวนการอุทธรณ์ คำตัดสินกำลังดำเนินการไป" ในหลวงทรงกล่าวในภายหลัง "ข้าพเจ้าไม่สามารถบ่อนทำลายฐานะของบรรดาผู้รักษาตัวบทกฎหมายของเราอย่าง ซื่อสัตย์ ด้วยการเข้าแทรกแซง จนกว่าฎีกาขออภัยโทษขั้นสุดท้ายมาถึงข้าพเจ้า"

['Fresh appeals against the sentences were in the works,' he said later. 'I couldn't undermine the position of honest upholders of our written laws by intervening until a final appeal for clemancy reached me.']
สตี เวนสันเล่าต่อไปว่า แต่เมื่อถึงเวลาที่จำเลยถูกตัดสินประหารชีวิตขั้นสุดท้าย และทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษ เผ่าได้ดำเนินการประหารชีวิตจำเลยไปโดยปกปิดข่าว และด้วยการกักหนังสือฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ ไม่นำขึั้นทูลเกล้าฯถวาย ในหลวงไม่ทรงทราบข่าวการประหารชีวิตนั้นเลย จนกระทั่งเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว และมีข่าวลือไปถึงพระองค์ (He had been told nothing about the executions. - The Revolutionary King หน้า 119) สตีเวนสันอ้างว่า ในหลวงทรงกริ้วอย่างยิ่ง (rage) . . .

ในหลวง ทรงรีบกลับจากวังไกลกังวลเมื่อข่าวลือเรื่องการประหารชีวิตไปถึงพระองค์. พระองค์ได้ทรงปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยไม่ทรงเข้าแทรกแซงกับกระบวนการยุติธรรม, เพราะคิดว่าทรงได้รับหลักประกัน [จากรัฐบาล] เรื่องความเป็นอิสระและเข้มแข็งของศาลแล้ว. ในความกริ้วอย่างเงียบๆของพระองค์, พระองค์ได้ตระหนักว่าพระองค์ทรงอยู่ในฐานะไร้ซึ่งอำนาจเพียงใด. พระองค์ได้ทรงยืนยันไปก่อนหน้านั้นว่า ราษฎรทุกคนมีสิทธิที่จะถวายฎีกาขออภัยโทษถึงพระองค์โดยตรง. บัดนี้ ทรงพบว่าความพยายามที่จะถวายฎีกาถึงพระองค์ของครอบครัวแพะรับบาปทั้งสามถูก หยุดยั้่งโดยบรรดาข้าราชสำนักที่ถูกตำรวจของเผ่าดึงตัวไปเป็นพวก . . . บนโต๊ะทำงานของเผ่า หนังสือฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามถูกวางทิ้วไว้

[The King hurried back for Far-From-Worry when the rumours reached him. He had let the months passed without interfering with the due process of law, thinking he had won his demand for a strong and independent judiciary. In his silent rage, he saw how powerless he really was. He had insisted that every citizen had the right to petition him directly. Now he discovered that attempts to reach him by the scapegoats’ families had been stopped by courtiers subverted by Phao’s police. . . . . On Phao’s desk remained the last written appeals from the dead men for a king’s pardon.]
(ข้อความภาษาอังกฤษข้างต้นนี้ ผมได้อ้างไว้ในบทความ โดยไม่แปลอย่างจงใจ เพิ่งมาแปลในครั้งนี้)

ใน บทความของผม ผมได้ยกข้อมูลชั้นต้นร่วมสมัยจำนวนมาก ทั้งรายงานการประชุมคณะรัฐมนตรีและรายงานข่าวหนังสือพิมพ์ มาแสดงให้เห็นว่า ในความเป็นจริงฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษของจำเลยทั้งสามได้รับการส่งผ่านจาก คณะรัฐมนตรีไปถึงราชเลขาธิการและราชเลขาธิการได้นำขึ้นทูลเกล้าถวายตาม กระบวนการ และต่อมา "ราชเลขาธิการแจ้ง [คณะรัฐมนตรี] มาว่า ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทแล้ว โปรดเกล้าฯให้ยกฎีกานี้" (คือไม่ทรงโปรดเกล้าฯให้อภัยโทษ) ในระหว่างที่ฎีกา ส่งถึงราชสำนักแล้ว แต่ยังไม่ทราบผล หนังสือพิมพ์สมัยนั้น รวมทั้ง สยามรัฐ ก็ ได้รายงานข่าวอย่างแพร่หลาย มีหนังสือพิมพ์บางฉบับได้ไปสัมภาษณ์ ม.จ.นิกรเทวัญ เทวกุล ราชเลขาธิการ ด้วย ซึ่ง ม.จ.นิกรเทวัญ ทรงรับสั่งยืนยันว่า "ฎีกาของจำเลยทั้งสามคนนี้ได้นำขึ้นทูลเกล้าฯถวายมาหลายวันแล้ว" ผมยังได้ชี้ให้เห็นว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ ที ม.จ.นิกรเทวัญ จะร่วมมือกับเผ่า กักหนังสือฎีกาไว้ไม่ทูลเกล้าถวาย เพราะ ม.จ.นิกรเทวัญ เป็นผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัย โปรดเกล้าฯให้เป็นราชเลขาธิการด้วยพระองค์เองให้อยู่ในตำแหน่งราชเลขาธิการ ตั้งแต่ปี 2493 จนถึงปี 2505 ซึ่งรวมเวลาที่ทรงโปรดเกล้าฯต่ออายุราชการให้ถึง 5 ครั้งจนครบตามระเบียบที่ต่ออายุราชการได้

ส่วนสาเหตุที่ทรง "โปรดเกล้าฯให้ยกฎีกา" ของ 3 จำเลยคืออะไร ผมไม่สามารถบอกได้แน่ชัด เพราะไม่มีหลักฐานยืนยัน
วิลเลียม สตีเวนสัน เดินสนทนากับในหลวง
อเล็กซานดร้า ลูกสาวของ สตีเวนสัน
ร่วมกิจกรรมกับนักเรียนโรงเรียนจิตรลดา

*******

กรุณาอ่านประกอบกับกระทู้นี้ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155497804503507&set=a.137616112958343.44289.100001298657012&theater

เย็น วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2498 เจ้าหน้าที่เรือนจำบางขวางได้ไปติดต่อกับภิกษุเนตร ปัญญาดีโพธิ์ เจ้าอาวาสวัดบางขวางที่อยู่ใกล้ๆกันว่าคืนนั้นขอนิมนต์ไปเทศน์ให้นักโทษที่ จะถูกประหารชีวิตฟัง เวลาเดียวกันที่เรือนจำ ผู้บัญชาการ (ขุนนิยมบรรณสาร) เรียกประชุมพัศดี ผู้คุมและพนักงานเรือนจำทั้งหมด สั่งให้เตรียมพร้อมประจำหน้าที่ . . .

นักโทษ 3 คน ถูกนำตัวออกจากห้องขังมาทำการตีตรวนข้อเท้าตามระเบียบ ทั้ง 3 คน รู้ตัวทันทีว่ากำลังจะถูกประหารชีวิต . . .

นัก โทษคนหนึ่งมีอาการปรกติ ขณะที่อีก 2 คนแสดงความตื่นตระหนก จนนักโทษคนแรกต้องหันไปดุว่า “กลัวอะไร เกิดมาตายหนเดียวเท่านั้น” นักโทษคนแรกยังพูดหยอกล้อกับผู้ตีตรวนได้

หลังตีตรวนเสร็จ ทั้งสามถูกนำไปพิมพ์ลายนิ้วมือและตรวจโรคทำบันทึกสุขภาพ แล้วถูกพาไปที่ห้องขังชั่วคราว (ปรกติเป็นห้องเยี่ยมญาติ) ขณะนั้นเวลาประมาณ 6 โมงเย็น ที่นั่นนอกจากมีผู้คุมเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด เข้าประกบนักโทษคนต่อคนตลอดเวลาแล้ว ยังมีแพทย์คอยสังเกตและตรวจอาการเป็นระยะๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ป่วยเจ็บก่อนถูกประหาร มีเสื่อปูให้นอน แต่ไม่มีใครนอน ราว 19 นาฬิกา แพทย์ฉีดยาบำรุงหัวใจให้นักโทษคนแรก 1 เข็ม แต่เขายังสามารถพูดคุยกับผู้คุมได้ ขณะที่อีก 2 คน มีอาการ กอดอก ซึมเศร้า เวลา 22 นาฬิกา ผู้คุมเป็นพยานให้นักโทษทั้งสามเขียนพินัยกรรมหรือจดหมายฉบับสุดท้ายถึงญาติ . . . .

และกระทู้นี้ https://www.facebook.com/photo.php?fbid=155570287829592&set=a.137616112958343.44289.100001298657012&theater

ธรณีนี่นี้เป็นพยาน. . เราบ่ผิดท่านมล้าง ดาบนี้คืนสนอง : 56 ปี การประหารชีวิตจำเลยคดีสวรรคต 17 กุมภาพันธ์ 2498 - 2554
. . . . ประมาณตี 2 หัวหน้ากองธุรการเรือนจำอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้นักโทษทั้งสามฟัง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ นักโทษทั้งสามนั่งฟังโดยสงบเป็นปรกติ หลังจากนั้น ภิกษุเนตร (ซึ่งมาถึงตั้งแต่ตี 2) ได้เทศน์ให้นักโทษทั้งสามฟังใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ระหว่างการเทศน์ นายเฉลียวมีอาการปรกติ ยังสามารถนำอาราธนาศีลได้ นายชิตนั่งสงบขณะที่นายบุศย์กระสับกระส่าย เมื่อเทศน์จบแล้ว ระหว่างที่ภิกษุเนตรกำลังจิบน้ำชาและพูดคุยกับนักโทษ นายบุศย์ซึ่งมีอาการโศกเศร้าที่สุดและหน้าตาหม่นหมองตลอดเวลา บอกกับภิกษุเนตรว่า “เรื่องของผมไม่เป็นความจริง ไม่ควรเลย” และพูดถึงแม่ที่ตายไปแล้วว่าเป็นห่วง ตายนานแล้วยังไม่ได้ทำศพ นายเฉลียวทำท่าจะสั่งเสียบางอย่างกับภิกษุเนตร “กระผมจะเรียนอะไรกับพระเดชพระคุณฝากไปสักอย่าง” แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร พอดีกับ เผ่า ศรียานนท์ พร้อมด้วยบริวารเกือบ 10 คน เดินทางมาถึงและเข้ามานั่งในห้องที่เก้าอี้ด้านหลังภิกษุเนตร เผ่าอยู่ในชุดสูทสากลหูกระต่าย สวมหมวกแบเร่ต์สีแดง นายเฉลียวเห็นเข้าก็เอ่ยขึ้นว่า “อ้อ คุณเผ่า” หลังจากนี้ภิกษุเนตรก็กลับวัด . . . .

หลังพระเทศน์ นักโทษถูกนำกลับห้อง ทางเรือนจำจัดอาหารมื้อสุดท้ายให้ แต่ไม่มีใครกิน . . . .

เวลา ประมาณ 4.20 น. นายเฉลียวถูกนำตัวเข้าสู่หลักประหารเป็นคนแรก โดยอยู่ในท่านั่งงอขา หันหลังให้ที่ตั้งปืนกลของเพชรฆาต ห่างจากปืนกลประมาณ 5 เมตร นักโทษถูกมัดเข้ากับหลักประหาร มือทั้งสองพนมถือดอกไม้ธูปเทียนไว้เหนือหัวมีผ้าขาวมัดไว้ และมีผ้าขาวผูกปิดตา ด้านหน้านักโทษเป็นกองดิน ด้านหลังเป็นฉากผ้าสีน้ำเงิน บังระหว่างนักโทษกับเพชรฆาต บนฉากผ้ามีวงกลมสีขาวเป็นเป้าสำหรับเพชรฆาต ซึ่งตรงกับบริเวณหัวใจของนักโทษ เมื่อได้เวลา เพชรฆาตประจำเรือนจำ นายเหรียญ เพิ่มกำลังเมือง ก็ยิงปืนกลรัวกระสุน 1 ชุด จำนวน 10 นัด เสร็จแล้วแพทย์เข้าไปตรวจดูนักโทษเพื่อยืนยันว่าเสียชีวิต

หลังการประหารนายเฉลียวประมาณ 20 นาที นายชิต ก็ถูกนำตัวมาประหารเป็นคนต่อไปในลักษณะเดียวกัน . . . .

หลัง จากนั้นไปอีก 20 นาที ก็ถึงคราวของนายบุศย์ เขามีโรคประจำตัวเป็นลมบ่อย และเป็นลมอีกก่อนถูกนำเข้าหลักประหารเล็กน้อย ต้องช่วยให้คืนสติก่อน . . .

เพชร ฆาตยิงนายบุศย์เสร็จ 1 ชุดแล้ว ตรวจพบว่านายบุศย์ยังมีลมหายใจ จึงยิงซ้ำอีก 2 ชุด โดยยิงรัว 1 ชุด แล้วตามด้วยการยิงทีละนัดจนหมดอีก 1 ชุด

ผลการยิงถึง 30 นัดนี้ทำให้เมื่อญาติทำศพ พบว่านายบุศย์เหลือเพียงร่างที่แหลกเหลว และมือขาดหายไป . . . . 
*********************************************************************************************************

Stephenson recruited James Thompson, the last OSS commander in Bangkok, to stay on in Bangkok as the local WCC representative. This led to the WCC’s financing of Thompson’s Thai Silk Company, a successful commercial enterprise that also covered Thompson’s repeated trips to the northeastern Thai border with Laos, the so-called Isan, where communist insurrection was most feared and where future CIA operations would be concentrated.32 One would like to know whether WCC similarly launched the import-export business of Willis Bird, of whom much more shortly. 

In the same postwar period, Paul Helliwell, who earlier had been OSS chief of Special Intelligence in Kunming, Yunnan, served as Far East Division chief of the Strategic Service Unit, the successor organization to OSS.33 In this capacity he allegedly “became the man who controlled the pipe-line of covert funds for secret operations throughout East Asia after the war.”34 Eventually, Helliwell would be responsible for the incorporation in America of the CIA proprietaries, Sea Supply Inc. and Civil Air Transport (CAT) Inc. (later Air America)
 http://khunnamob.hostignition.com/backup/nonlaw/nonlaw.7forum.net/forum-f7/topic-t721-75.htm
, which would provide support to both Phao Sriyanon of the Northern Army in Thailand and the KMT drug camps in Burma. It is unclear what he did before the creation of OPC in 1948. Speculation abounds as to the original source of funds available to Helliwell in this earlier period, ranging from the following:
1.  The deep pockets of the overworld figures in the WCC. Citing Daniel Harkins, a former USG investigator, John Loftus and Mark Aarons claimed that Nazi money, laundered and manipulated by Allen Dulles and Sir William Stephenson through the WCC, reached Thailand after the war. When Harkins informed Congress, he “was suddenly fired and sent back [from Thailand] to the United States on the next ship.”35
2.  The looted gold and other resources collected by Admiral Yamashita and others in Japan36 or of the SS in Germany.
3.  The drug trade itself. Further research is needed to establish when the financial world of Paul Helliwell began to overlap with that of Meyer Lansky and the underworld. The banks discussed in the chapter 7, which are outward signs of this connection (Miami National Bank and Bank of Perrine), were not established until a decade or more later. Still to be established is whether the Eastern Development Company represented by Helliwell was the firm of this name that in the 1940s cooperated with Lansky and others in the supply of arms to the nascent state of Israel.37
Of these the best available evidence points tentatively to Nazi gold. We shall see that Helliwell acquired a banking partner in Florida, E. P. Barry, who had been the postwar head of OSS Counterintelligence (X-2) in Vienna, which oversaw the recovery of SS gold in Operation Safehaven.38 And it is not questioned that in December 1947 the National Security Council (NSC) created a Special Procedures Group “that, among other things, laundered over $10 million in captured Axis funds to influence the [Italian] election [of 1948].”39 Note that this authorization was before NSC 10/2 of June 18, 1948, first funded covert operations under what soon became OPC.

What matters is that, for some time before the first known official U.S. authorizations in 1949–1950, funds were reaching Helliwell’s former OSS China ally Willis Bird in Bangkok. There Bird ran a trading company supplying arms and materiel to Phin Chunhawan and Phin’s son-in-law, Phao Sriyanon, who in 1950 became director-general of the Thai Police Department.

By 1951 OPC funds for Bird were being handled by a CIA proprietary firm, Sea Supply Inc., which had been incorporated by Paul Helliwell in his civilian capacity as a lawyer in Miami. As noted earlier, Helliwell also became general counsel for the Miami bank that Meyer Lansky allegedly used to launder proceeds from the Asian drug traffic.

Some sources claim that in the 1940s, Donovan, whose link to the WCC was by 1946 his only known intelligence connection, also visited Bangkok.40 Stephenson’s biographer, William Stevenson, writes that because MacArthur had cut Donovan out of the Pacific during World War II, Donovan “therefore turned Siam [i.e., Thailand] into a base from which to run [postwar] secret operations against the new Soviet threat in Asia.”41
William Walker agrees that by 1947–1948, the United States increasingly defined for Thailand a place in Western strategic policy in the early cold war. Among those who kept close watch over events were William J. Donovan, wartime head of the OSS, and Willis H. Bird, who worked with the OSS in China. . . . After the war, Bird, . . . still a reserve colonel in military intelligence, ran an import-export house in Bangkok. Following the November [1947 Thailand coup] Bird . . . implored Donovan: “Should there be any agency that is trying to take the place of O.S.S., . . . please have them get in touch with us as soon as possible. By the time Phibun returned as Prime Minister, Donovan was telling the Pentagon and the State Department that Bird was a reliable source whose information about growing Soviet activities in Thailand were credible.42
http://cryptome.org/us-covert.htm
Bird’s wishes were soon answered by NSC 10/2 of June 18, 1948, which created the OPC. Washington swiftly agreed that Thailand would play an important role as a frontline ally in the Cold War. In 1948, U.S. intelligence units began arming and training a separate army under General Phao, which became known as the Thai Border Police (BPP). The relationship was cemented in 1949 as the communists captured power in China. The generals demonstrated their anticommunist credentials by echoing U.S. propaganda and killing alleged leftists. At midyear a CIA [OPC] team arrived in Bangkok to train the BPP for covert support of the Kuomintang in its continuing war against the Chinese communists on the Burma-China border. Later in the year the United States began to arm and train the Thai army and to provide the kingdom general economic aid.43
Walker notes how the collapse of the KMT forces in China led Washington to subordinate its antinarcotics policies to the containment of communism:
By the fall of 1949 . . . reports reached the State Department about the inroads communism was making within the Chinese community in Thailand as well as the involvement of the Thai army with opium. Since the army virtually controlled the nature of Thailand’s security relationship with the West, foreign promotion of opium control had to take a back seat to other policy priorities.44
On March 9, 1950, when Truman was asked to approve $10 million in military aid for Thailand, Acheson’s supporting memo noted that $5 million had already been approved by Truman for the Thai “constabulary.”45 This presumably came from the OPC’s secret budget: I can find no other reference to the $5 million in State Department published records, and two years later a U.S. aid official in Washington, Edwin Martin, wrote in a secret memo that the Thai Police force under General Phao “is receiving no American military aid.”46

Cliques, the Mob, the KMT, and Operation Paper

The U.S. decision to back the KMT troops—the so-called Li Mi project or Operation Paper
was made at a time of intense interbureaucratic conflict and even conspiratorial disagreement over official U.S. policy toward the new Chinese People’s Republic. As the historian Bruce Cumings has shown, both the KMT-financed China Lobby and many Republicans, like Donovan, as well as General MacArthur in Japan, were furious at the failure of Secretary of State Dean Acheson to continue support for Chiang Kai-shek after the founding of the People’s Republic in October 1949.47 Up until the June 1950 outbreak of war in Korea, Acheson refused to guarantee even the security of Taiwan.48


Claire Chennault with Chiang Kai-shek and Mme Chiang

The key public lobbyist for backing the KMT in Burma and Yunnan was General Claire Chennault, original owner of the airline the OPC took over. Chennault deserves to be remembered as an early postwar proponent of using off-the-books assets: his “Chennault Plan” envisaged essentially self-financing KMT armies, backed by a covert U.S. logistical airline, in support of U.S. foreign policy.49 Because by this time Chennault was serving in Washington as Chiang Kai-shek’s military representative, he was viewed by U.S. officials with increasing suspicion if not distaste.50 Yet his longtime associate, friend, and business ally Thomas (“Tommy the Cork”) Corcoran, who after 1950 was a registered foreign agent for Taiwan, managed to put Chennault in contact with senior OPC officers, including Richard Stilwell, chief of the Far East Division of the OPC.51

There were other private interests with a stake in Operation Paper. In 1972 I noted that the two principal figures inside the United States who backed Chennault, Paul Helliwell and Thomas Corcoran, were both attorneys for the OSS-related insurance companies of C. V. Starr in the Far East.52 (Starr, who had operated out of Shanghai before the war, helped OSS China establish a network both there and globally.53)  
 http://www.cvstarrco.com/cv/
 http://khunnamob.hostignition.com/backup/nonlaw/nonlaw.7forum.net/forum-f2/topic-t291-25.htm
The C. V. Starr companies (later the massive AIG group) allegedly had “close financial ties” with Chinese Nationalists in Taiwan,54 and in any case they would of course have had a financial interest both in restoring the KMT to power in China and in consolidating a Western presence in Southeast Asia.55 At the time of Corcoran’s lobbying,
Starr’s American International Assurance Company was expanding from its Hong Kong base to Malaysia,
Singapore, and Thailand.
In 2006, that company was “the No. 1 life insurer in Southeast Asia.”56 And its parent AIG, before AIG’s spectacular collapse in 2008, was listed by Forbes as the eighteenth-largest public company in the world. 

Corcoran was also the attorney in Washington for Chiang Kai-shek’s brother-in-law T. V. Soong, the backer of the China Lobby who some believed to be the “wealthiest man in the world.”57 It is likely that Soong and the KMT helped develop the Chennault Plan. A complementary plan for supporting the remnants of General Li Mi’s KMT armies in Burma was developed in 1949 by the army’s civilian adviser, Ting Tsuo-shou, after discussions on Taiwan with Chiang Kai-shek.58

Like Chiang Kai-shek, Chennault also had support from Henry Luce of Time-Life in America and both General MacArthur and his intelligence chief, Major General Charles Willoughby, in Japan. Their plans for maintaining and reestablishing the KMT in China were in 1949 already beginning to diverge significantly from those of Truman and his State Department.59 Former OSS Chief William Donovan, now outside the government and promoting the KMT, also promoted both Chiang Kai-shek and Chennault,60 as did Chennault’s wartime associate William Pawley, a freewheeling overseas investor who, like Helliwell, reputedly had links to mob drug traffickers.61

Donovan’s support for Chennault was part of his general advocacy of rollback against communism and his interest in guerrilla armies—a strongly held ideology that, as we shall see, led to his appointment as ambassador to Thailand in 1953. His intellectual ally in this was the former Trotskyite James Burnham, another protégé of Henry Luce by then in the OPC (and a prototype of the neoconservatives half a century later). Burnham wrote in his book (“published with great Luce fanfare in early 1950”) of “rolling back” communism and of supporting Chiang Kai-shek to, at some future point, “throw the Communists back out of China.”62

The Belated Authorization of Operation Paper

In the midst of this turmoil, OPC Chief Frank Wisner began in the summer of 1948 to refinance and eventually take over Chennault’s airline, CAT, which Chiang Kai-shek’s friend Claire Chennault had organized with postwar UN relief funds to airlift supplies to the KMT armies in China. Wisner “negotiated with Corcoran for the purchase of CAT [in which Corcoran as well as Chennault had a financial interest]. In March [1950], using a ‘cutout’ banker or middleman, the CIA paid CAT $350,000 to clear up arrearages, $400,000 for future operations, and a $1 million option on the business.”63

Richard Stilwell, Far Eastern chief of the OPC and the future overseer of Operation Paper, dickered with Corcoran over the purchase price.64 The details were finalized in March 1950, shortly before the outbreak of the Korean War in June generated for CAT Inc. a huge volume of new business.65 Alfred Cox, OPC station chief in Hong Kong and the chief executive officer (CEO) of CAT Inc., directed the supply operation to Li Mi.66

According to an unfavorable assessment by Lieutenant Colonel William Corson, a former marine intelligence officer on special assignment with the CIA, the OPC,
in late summer 1950, recruited (or rather hired) a batch of Chinese Nationalist soldiers [who] were transported by the OPC to northern Burma, where they were expected to launch guerrilla raids into China. At the time this dubious project was initiated no consideration was given to the facts that (a) Truman had declined Chiang’s offer to participate in the Korean War . . . (b) Burmese neutrality was violated by this action; and (c) the troops provided by Chiang were utterly lacking in qualifications for such a purpose.67
Shortly afterward, in October 1950, Truman appointed a new and more assertive CIA director, Walter Bedell Smith. Within a week Smith took the first steps to make the OPC and Wisner answerable for the first time, at least on paper, to the CIA.68 Smith ultimately succeeded in his vigorous campaign to bring Wisner and the OPC under his control, partly by bringing in Allen Dulles to oversee both the OPC and the CIA’s rival Office of Special Operations (OSO, the successor to the Strategic Service Unit).69 Yet in November 1950, only one month after his appointment as director, Smith tried and failed to kill Operation Paper when the proposal was belatedly submitted by the OPC (backed by the Joint Chiefs) for Truman’s approval:
The JCS [Joint Chiefs of Staff] in April 1950 issued a series of recommendations, including a programme of covert assistance to local anti-communist forces. This proposal received additional stimulus following the Korean War and especially after Communist China entered that conflict. Shortly after the People’s Republic’s (PRC’s) intervention, the Central Intelligence Agency’s (CIA’s) Office of Policy Co-ordination (OPC) proposed a programme to divert the PRC’s military from the Korean peninsula. The plan called for U.S. aid to the 93rd, followed by an invasion of Yunnan by Li’s men. Interestingly, the CIA’s director, Walter Bedell Smith, opposed the plan, considering it too risky. But President Harry S. Truman saw merit in the OPC proposal and approved it. The programme became known as Operation Paper.70
It is not clear whether, when Truman approved Operation Paper in November 1950, his secretary of state, Dean Acheson, was even aware of it. It is a matter of record that the U.S. embassies in Burma and Thailand knew nothing of the authorization until well into 1951, when they learned of it from the British and eventually from Phibun himself.71 The scholar Victor Kaufman reports that he “was unable to turn up any evidence at the Truman Library, the National Archives or in the volumes of FRUS [Foreign Relations of the United States] to determine whether in fact Acheson knew of the operation and, if so, at what point.”72

Both MacArthur and Chennault had ambitious designs for the CAT-supported KMT troops in Burma. With the outbreak of the Korean War in 1950, CAT played an important role in airlifting supplies to the U.S. troops.73 But both MacArthur and Chennault spoke publicly of trapping communist China in what Chennault called a “giant pincers”—simultaneous attacks from Korea and from Burma.74

The OPC kicked in by helping to build up a major airstrip at the chief KMT base at Mong Hsat, Burma, followed by a regular shuttle transport of American arms.75However, Li Mi’s attempts to invade Yunnan in 1951 and 1952 (three according to McCoy, seven according to Lintner) were swiftly repelled by local militiamen with heavy casualties after advances of no more than sixty miles.76 CIA advisers accompanied the incursions, and some of them were killed.77

American journalists and historians like to attribute the CIA’s Operation Paper, in support of Li Mi and the opium-growing 93rd Division in Burma, to President Truman’s authorization in November 1950, following the outbreak of the Korean War in June 1950 and above all the Chinese crossing of the Yalu River.78 But as historian Daniel Fineman points out, Truman was merely authorizing an arms shipments program that had already begun months earlier:
Shortly after the writing of the [April 1950] JCS memorandum, the United States began supplying arms and matériel to the [KMT] troops. [The Burmese protested in August 1950 that they had discovered in northern Burma an American military officer from the Bangkok embassy in Burma without authorization.79] In the fall, the . . . Office of Policy Coordination (OPC) drafted a daring plan for them to invade Yunnan. The CIA’s director, Walter Bedell Smith, opposed the risky scheme, but Truman [in November 1950] rejected his warning. . . . In January 1951, the CIA initiated its project, code-named Operation Paper. It aimed to prepare the Kuomintang (KMT) forces in Burma for an invasion of Yunnan.80
The futility of Li Mi’s military jabs against China was obvious to Washington by 1952. Yet Federal Bureau of Narcotics (FBN) Chief Harry Anslinger continued to cover up the Li Mi-Thai drug connection for the next decade. The annual trafficking reports of the FBN recorded one seizure of distinctive Thai Government Monopoly opium in 1949 and on “several occasions” more in 1950. But after the initiation of Operation Paper in 1951, the FBN over a decade listed only one seizure of Thai drugs (from two seamen), until it began reporting Thai drug seizures again in 1962.81

Meanwhile, Anslinger, who “had established a working relationship with the CIA by the early 1950s . . . blamed the PRC [People’s Republic of China, as opposed to their enemy the KMT] for orchestrating the annual movement of some two hundred to four hundred tons of opium from Yunnan to Bangkok.”82 This protection of the world’s leading drug traffickers (who were also CIA proxies) did not cease with Anslinger, nor even when the FBN, by then thoroughly corrupted from such cover-ups, was replaced in 1968 by the Bureau of Narcotics and Dangerous Drugs and finally in 1973 by the Drug Enforcement Administration. As I write in 2010, the U.S. media are blaming the drug traffic in Afghanistan on the Taliban-led insurgency, but UN statistics (examined later in this book) suggest that insurgents receive less than 12 percent of the total drug revenues in Afghanistan’s totally drug-corrupted economy.


Harry Anslinger

As we saw in the previous chapter, Anslinger’s tenure at the FBN was when the CIA also forged anticommunist drug alliances in Europe in the 1940s with the Italian Mafia in Sicily and the Corsican Mafia in Marseilles. The KMT drug support operation was longer lived and had more lasting consequences in America as well as in Southeast Asia. It converted the Golden Triangle of Burma–Thailand–Laos, which before the war had been marginal to the global drug economy, into what was for two decades the dominant opium-growing area of the world.

Did Some People Intend to Develop the Drug Traffic with Operation Paper?

The decision to arm Li Mi was obviously controversial and known to only a few. Some of those backing the OPC’s support of a pro-KMT airline and troops may have envisaged from the outset that the 93rd Division would continue, as during the war, to act as drug traffickers. The key figure, Paul Helliwell, may have had a dual interest, inasmuch as he not only was a former OSS officer but also at some point became the legal counsel in Florida for the small Miami National Bank used after 1956 by Meyer Lansky to launder illegal funds.83 We shall see in the next chapter that Helliwell also went on to represent Phao’s drug-financed government in the United States and to receive funds from that source.84

It is possible that in the mind of Helliwell, with his still ill-understood links to the underworld and Meyer Lansky, Li Mi’s troops were not being used to invade China so much as to restore the war-dislocated international drug traffic that supported the anticommunist KMT and the comprador capitalist activities of its supporters throughout Southeast Asia.85 (As a military historian has commented, “Li Mi was more Mafia or war lord than Chinese Nationalist. Relying on his troops to bring down Mao was an OPC pipe dream.”86)

It is possible also that other networks associated with the drug traffic became part of the infrastructure of the Li Mi operation. This question can be asked of some of the ragtag group of pilots associated with Chennault’s airlines in Asia, some of whom were rumored to have seized this opportunity for drug trafficking.87 According to William R. Corson (a marine colonel assigned at one point to the CIA),
The opium grown by the ChiNat guerrillas . . . was transported by OPC contract aircraft from the forward base to Bangkok for sale to buyers from the various “connections.” The pilots who flew these bushtype aircraft and often served as agents or go-betweens with the guerrilla leaders and the opium buyers were a motley band of men. Some were ex-Nazis, others part of the band of expatriates who emerge in foreign countries following any war.88
The FBN by this time was aware that Margaret Chung, the attending physician to the pilots of Chennault’s wartime airline, was involved with Bugsy Siegel’s friend Virginia Hill “in the narcotic traffic in San Francisco.”89 During World War II, when the Office of Naval Intelligence through the OSS approached Dr. Chung for some specific intelligence on China, she “volunteered that she could supply detailed information . . . ‘from some of the smugglers in San Francisco.’”90
One has to ask what was in the mind of Chennault. Chennault himself was once investigated for smuggling activities, “but no official action was taken because he was politically untouchable.”91 I have no reason to suspect that Chennault wished to profit personally from the drug traffic. But his objective in opposing Chinese communists was to split off ethically divergent provinces like Xinjiang, Tibet, and above all Yunnan.
Chennault’s top priority was Yunnan, with its long-established Haw (or Hui) Muslim minority, many of whom (especially in southwestern Yunnan) traditionally dominated the opium trade into Thailand.92 The troops of the reconstituted 93rd Division were principally Haws from Yunnan.93 To this day, one Thai name for the KMT Yunnanese minority in northern Thailand is gaan beng gaaosipsaam (“93rd Division”), and visitors to the former base of the KMT general Duan Xiwen in Thailand (Mae Salong) are struck by the mosque one sees there.94

I suspect that Chennault may have known that none of the elements in the reconstituted 93rd Division “had made great records of military accomplishment” during World War II,95 that the 93rd had been engaged in drug trafficking when based at Jinghong during World War II,96 and that when the 93rd Division moved into northern Burma and Laos in 1946, it was “in reality, to seize the opium harvest there.”97 That the 93rd Division settled into managing the postwar drug traffic out of Burma should have come as no surprise. Chennault was close to Madame Chiang Kai-shek, T. V. Soong, and the KMT, which had been supporting itself from opium revenues since the 1930s.98 Linked to drug trafficking both in Thailand (through the Tai Li spy network) and in America, the KMT, after expulsion from Yunnan, desperately needed a new opium supply to maintain its contacts with the opiumtrafficking triads and other former assets of Tai Li in Southeast Asia.99

From the time of the inception of the KMT government in the 1920s, KMT officials had been caught smuggling opium and heroin into the United States.100 As noted earlier, an FBN supervisor reported in 1946 that “in a recent Kuomintang Convention in Mexico City a wide solicitation of funds for the future operation of the opium trade was noted.” In July 1947 the State Department reported that the Chinese Nationalist government was “selling opium in a desperate attempt to pay troops still fighting the Communists.”101 The New York Times reported on July 23, 1949, the seizure in Hong Kong of twenty-two pounds of heroin that had arrived from a CIA-supplied Kuomintang outpost in Kunming.102 But the loss of Yunnan in 1949–1950 meant that the KMT would have to develop a new source of supply.

The key to the survival of the KMT was of course its establishment and protection after 1949 on the island of Taiwan. Chennault and his airline CAT helped move the KMT leadership and its resources to its new base and to deny the new Chinese People’s Republic the Chinese civil air fleet (which became embroiled in a protracted Hong Kong legal battle where CAT was represented by William Donovan).103 By 1950 one of Chennault’s wartime pilots, Satiris (or Soteris or Sortiris) Fassoulis ran a firm, Commerce International China, Inc., that privately supplied arms and military advisers to Chiang Kai-shek on Taiwan. Bruce Cumings speculates that he may have done so for the OPC at a time when Acheson was publicly refusing to commit the United States to the defense of Taiwan.104

Finally, all those handling Operation Paper in and for the OPC (Fitzgerald, Helliwell, Joost, CAT Inc. CEO Alfred Cox, and Bird) had had experience in the area during World War II. If they had not wanted Li Mi and CAT to be- come involved in restoring the KMT drug traffic, it would have been imperative for them to ensure that the KMT on Taiwan had no control over CAT’s operations. But Wisner and Helliwell did the exact opposite: when they took over the CAT airline, they gave majority control of the CAT planes to the KMT-linked Kincheng Bank on Taiwan.105 Thereafter for many years CAT planes would fly arms into Li Mi’s camp for the CIA and then fly drugs out for the KMT.

The opium traffic may well have seemed attractive to OPC for strategic as well as financial reasons. As Alfred McCoy has observed, Phao’s pro-KMT activities in Thailand “were a part of a larger CIA effort to combat the growing popularity of the People’s Republic among the wealthy, influential overseas Chinese community throughout Southeast Asia.”106 I have noted elsewhere that the KMT reached these communities in part through triads and other secret societies (especially in Malaya) that had traditionally been involved in the opium traffic. Thus, the restoration of an opium supply in Burma to replace that being lost in Yunnan had the result of sustaining a social fabric and an economy that was capitalist and anticommunist.107

I would add today that the opium traffic was an even more important element in an anticommunist strategy for Southeast Asia as a source of income. We have already seen that for a century, the Thai state had relied on its revenues from the state opium monopoly; in 1953 “the Thai representative at the April CND [Commission on Narcotic Drugs] session had admitted that his country could not afford to give up the revenue from the opium business.”108

Just as important was the role of opium profits in promoting capitalism among the Chinese businessmen of Southeast Asia (the agenda of Sir William Stephenson and the WCC). Whether the Chinese who dominated business in the region would turn their allegiance to Beijing depended on the availability of funds for alternative business opportunities. Here Phao’s banker, Chin Sophonpanich, became a source of funds for top anticommunist businessmen not only in Thailand but also in Malaysia and Indonesia:
Chin Sophonpanich created the largest bank in south-east Asia and one that was extremely profitable. A report by the International Monetary Fund in 1973 claimed that Bangkok Bank’s privileged position allowed it to make returns on its capital in excess of 100 per cent a year (a claim denounced by Chin’s lieutenants). What was not in dispute was that the bank’s bulging deposit base could not be lent out at optimum rates in Thailand alone. This is where Chin revolutionised the south-east Asian banking scene. He personally travelled between Hong Kong, Singapore, Kuala Lumpur and Jakarta, identifying and courting the new generation of putative post colonial tycoons. . . . Chin banked the key godfathers outside Hong Kong—Robert Kuok in Malaysia, Liem Sioe Liong [Sudono Salim] in Indonesia, the Chearavanonts in Thailand—as well as other players in Singapore and Hong Kong. . . . Chin was closely linked to the Thai heroin trade through his role as personal financier to the narcotics kingpin Phao Sriyanon, and to other politicians involved in running the drug business.109
Chin thus followed the example of the Khaw family opium farmers in nineteenth-century Siam, whose commercial influence also eventually “extended across Siam’s southern borders into Malaya and the Netherlands East Indies” into legitimate industries, such as tin mines and a shipping company.110
America had another reason to accept Li Mi’s smuggling activities: as a source of badly needed Burmese tungsten. According to Jonathan Marshall, there is fragmentary evidence that OPC/CIA support for his remnant army was “also to facilitate Western control of Burma’s tungsten resources.”111

Creation of an Off-the-Books Force without Accountability

The OPC aid to Thai police greatly augmented the influence of both Phao Sriyanon, who received it, and Willis Bird, the OSS veteran through which it passed and who was already a supplier for the Thai military and police. Seeing the gap between the generals who had organized the military coup of 1947 and U.S. Ambassador Stanton, who still worked to support civilian politicians, Bird worked with Phao and the generals of the 1947 Coup Group to create in 1950 a secret “Naresuan Committee.” Bypassing the U.S. embassy altogether, the Naresuan Committee created a parallel, parastatal channel for U.S.–Thai governmental relations between OPC and Phao’s BPP:
Bird organized in 1950 a secret committee of leading military and political figures to develop an anticommunist strategy and, more importantly, lobby the United States for increased military assistance. The group, dubbed the Naresuan Committee, included police strongman Phao Sriyanon, Sarit Thanarat, Phin Choonhawan, Phao’s father-in-law, air force chief Fuen Ronnaphakat, and Bird’s [Anglo-Thai] brother-in-law, [air force colonel] Sitthi [Savetsila,
later Thailand’s foreign minister for a decade]. . . . Bird and the generals established their committee to bypass the ambassador and . . . work through [Bird’s] old OSS buddies now employed by the CIA [sic, i.e., OPC].112
Thomas Lobe, ignoring Bird, writes that it was the “Thai military clique” who organized the committee. But from his own prose we learn that the initiative may have been neither theirs nor Bird’s alone but in implementation of a new strategy of support to the KMT in Burma, designed by the OPC and JCS in Washington:
A high-ranking U.S. military officer and a CIA [OPC] official came to Bangkok [in 1950] to review the political situation.113 . . . Through the “[Naresuan] Anti-Communist Committee,” secret negotiations ensued between Phao and the CIA [OPC]. The U.S. representative explained the need for a paramilitary force that could both defend Thai borders and cross over into Thailand’s neighbors— Vietnam, Laos, Burma, Cambodia, and China—for secret missions. . . . The CIA’s new police were to be special: an elite force outside the normal chain of command of both the Thai security bureaucracy and the TNPD [Thai National Police department]. Phao and Phibun agreed to this arrangement because of the increase in armed power that this new national police meant vis-à-vis the armed forces.114
This was in keeping with the JCS call in April 1950 for a new “program of special covert operations designed to interfere with Communist activities in Southeast Asia,” noting “the evidences of renewed vitality and apparent increased effectiveness of the Chinese Nationalist forces.”115
Action was taken immediately:
[Bird’s] CIA [i.e., OPC] contacts sent an observer to meet the committee and, impressed with the resolve the Thais manifested, got Washington to agree to a large covert assistance program. Because they considered the matter urgent, planners on both the Thai and American sides decided to forgo a formal agreement on the terms of the aid. Instead, Paul Helliwell, an OSS friend of Bird [from China] now practicing law in Florida [as well as military reserve officer and OPC operative], incorporated a dummy firm in Miami named the Sea (i.e. South-East Asia) Supply Company as a cover for the operation. The CIA [OPC], the agency on the American end responsible for the assistance, opened a Sea Supply office in Bangkok. . . . By the beginning of 1951, Sea Supply was receiving arms shipments for distribution. . . . The CIA [OPC] appointed Bird’s firm general agent for Sea Supply in Bangkok.116
Sea Supply’s arms from Bird soon reached not only the Thai police and BPP but also, starting in early 1951, the KMT 93rd Division in Burma, which was still supporting itself, as during the war, from the opium traffic.117 General Li Mi, the postwar commander of the 93rd Division, would consult with Bird and Phao in Bangkok about the arms that he needed for the KMT base at Mong Hsat in Burma and that had already begun to reach him months before the creation of the Bangkok Sea Supply office in January 1951.118 The airline supplying the KMT base at Mong Hsat in Burma from Bangkok was Helliwell’s other OPC proprietary, CAT Inc., which in 1959 changed its name to become the well-known Air America. The deliberately informal arrangement for Sea Supply served to mask the sensitive arms shipments to a KMT opium base.119


Air America U-10D Helio Courier aircraft in Laos on a covert mountaintop landing strip (LS) "Lima site"

In the complex legal takeover of Chennault’s airline, his assets developed into three separate components: planes (the Taiwanese civilian airline In the complex legal takeover of Chennault’s airline, his assets developed into three separate components: planes (the Taiwanese civilian airline Civil Air Transport or CATCL), pilots (later Air America), and ground-support operations (Air Asia). Of these the planes only 40 percent were owned by the CIA; the remaining 60 percent continued to be owned by KMT financiers (with alleged links to T.V. Soong and Mme. Chiang K ai-shek), who had relocated to Taiwan and were associated with the Kincheng Bank.120 The Kincheng Bank was under the control of the so-called Political Science Clique of the KMT, whose member Chen Yi was the first postwar KMT governor of Taiwan.121
The OPC’s organizational arrangements for its proprietary CAT, which left 60 percent of the company owning the CAT planes in KMT hands, guaranteed that CAT’s activities were immune to being reined in by Washington.122

In fact Helliwell, Bird, and Bird’s Thai brother-in-law Sitthi Savetsila all avoided the U.S. embassy and instead plotted strategy for the KMT armies at the Taiwanese embassy. There the real headquarters for Operation Paper was the private office of Taiwanese Defense Attaché Chen Zengshi, a graduate of China’s Whampoa Military Academy.123

Bird’s energetic promotion of Phao, precisely at a time when the U.S. embassy was trying to reduce Phao’s corrupt influence, led to a 1951 embassy memorandum of protest to Washington about Bird’s activities. “Why is this man Bird allowed to deal with the Police Chief [Phao]?” the memo asked.124 The question, for which there is no publicly recorded reply, was an urgent one. Bird’s backing of the so-called Coup Group (Phin Choonhavan, Phao Sriyanon, and Sarit Thanarat), reinforced by the obvious U.S. support for Bird through Operation Paper and Sea Supply, encouraged these military men, in their November 1951 “Silent Coup,” to defy Stanton, dissolve the Thai parliament, and replace the postwar Thai constitution with one based on the much more reactionary constitution of 1932.125

The KMT Drug Legacy for Southeast Asia

When the OPC airline CAT began its covert flights to Burma in the 1950s, the area produced about eighty tons of opium a year. In ten years’ time, production had at least quadrupled, and at one point during the Vietnam War, the output from the Golden Triangle reached 1,200 tons a year. By 1971, there were also at least seven heroin labs in the region, one of which, close to the CIA base of Ban Houei Sai in Laos, produced an estimated 3.6 tons of heroin a year.126

The end of the Vietnam War did not interrupt the flow of CIA-protected heroin to America from the KMT remnants of the former 93rd Division, now relocated in northern Thailand under Generals Li Wenhuan and Duan Xiwen (Tuan Hsi-wen). The two generals, by then officially integrated into the defense forces of Thailand, still enjoyed a special relationship to and protection from the CIA. With this protection, Li Wenhuan, from his base in Tam Ngob, became, according to James Mills, “one of the most powerful narcotics traffickers on earth . . . controlling the opium from which is refined a major percentage of heroin entering the United States.”127

From the very outset of Operation Paper, the consequences were felt in America itself. As I have shown elsewhere, most of the KMT-Thai opium and heroin was distributed in America by KMT-linked tongs with long-term ties to the American mafia.128 Thus, Anslinger’s rhetoric served to protect the primary organized crime networks distributing Asian narcotics in America. Far more than the CIA drug alliances in Europe, the CIA’s drug project in Asia contributed to the drug crisis that afflicted America during the Vietnam War and from which America still suffers. Furthermore, U.S. protection of leading KMT drug traffickers led to the neutralization of domestic drug enforcement at a high level. It has also inflicted decades of militarized oppression on the tribes of eastern Myanmar (Burma), perhaps the principal victims of this story.

By the end of 1951, Truman, convinced that the KMT forces in Burma were more of a threat to his containment policy than an asset, “had come to the conclusion that the irregulars had to be removed.”129 Direct U.S. support to Li Mi ended, forcing the KMT troops to focus even more actively on proceeds from opium, soon supplemented by profits from morphine labs as well. But nevertheless, in June 1952, as we shall see, 100 Thai graduates from the BPP training camp were in Burma training Li Mi’s troops in jungle warfare.130 After a skirmish in 1953, the Burma army recovered the corpses of three white men, with no identification except for some documents with addresses in Washington and New York.131Operation Paper was by now leading a life of its own, independent not just of Ambassador Stanton but even of the president.
A much-publicized evacuation of troops to Taiwan in 1953–1954 was a charade, despite five months of strenuous negotiations by William Donovan, by then Eisenhower’s ambassador in Thailand. Old men, boys, and hill tribesmen were airlifted by CAT from Thailand and replaced by fresh troops, new arms, and a new commander.132
The fiasco of Operation Paper led in 1952 to the final absorption of the OPC into the CIA. According to R. Harris Smith,
Bedell Smith . . . summoned the OPC’s Far East director, Richard Stilwell, and, in the words of an agency eyewitness, gave him such a “violent tongue lashing” that “the colonel went down the hall in tears.” . . . [T]he Burma debacle was the worst in a string of OPC affronts that confirmed his decision to abolish the office. In 1952 he merged the OPC with the CIA’s Office of Special Operations [to create a new Directorate of Plans].133
What precipitated this decision was an event remembered inside the agency as the “Thailand flap.” Its precise nature remains unknown, but central to it was a drugs-related in-house murder. Allen Dulles’s biographer recounts that in 1952 Walter Bedell Smith “had to send top officials of both clandestine branches [the CIA’s OSO and OPC] out to untangle a mess of opium trading under the cover of efforts to topple the Chinese communists.”134 (I heard from a former CIA officer that an OSO officer investigating drug flows through Thailand was murdered by an OPC officer.135) Years later, at a secret Council on Foreign Affairs meeting in 1968 to review official intelligence operations, former CIA officer Richard Bissell referred back to the CIA–OPC flap as “a total disaster organizationally.”136

But what was an organizational disaster may be seen as having benefited the political objectives of the wealthy New York Republicans in OPC (including Wisner, Fitzgerald, Burnham, and others) who constituted an overworld enclave committed to rollback inside the Truman establishment committed to containment. (Recall that Wisner had surrounded himself in the OPC with men who, in the words of Wisner’s ex-wife, “had money enough of their own to be able to come down” to Washington.137) This enclave was already experimenting with attempts to launch the rollback policy that Eisenhower and John Foster Dulles would call for in the 1952 election campaign.138

Truman, understandably and rightly, mistrusted this enclave of overworld Wall Street Republicans that the CIA and OPC had injected into his administration. The four directors Truman appointed to oversee central intelligence—Sidney Souers, Hoyt Vandenberg, Roscoe Hillenkoetter, and Walter Bedell Smith—were all from the military and all (like Truman himself) from the central United States.139 This was in striking contrast to the six known deputy directors below them, whose background was that of New York City or (in one case) Boston, law and/or finance, and (in all cases but one) the Social Register.140

But Bedell Smith, Truman’s choice to control the CIA, inadvertently set the stage for overworld triumph in the agency when, in January 1951, he brought in Allen Dulles (Wall Street Republican, Social Register, and OSS) “to control Frank Wisner.”141 And with the Republican election victory of 1952, Bedell Smith’s intentions in abolishing the OPC were completely reversed. Desmond Fitzgerald of the OPC, who had been responsible for the controversial Operation Paper, became chief of the CIA’s Far East Division.142 American arms and supplies continued to reach Li Mi’s troops, no longer directly from OPC but now indirectly through either the BPP in Thailand or the KMT in Taiwan.

The CIA support for Phao began to wane in 1955–1956, especially after a staged BPP seizure of twenty tons of opium on the Thai border was exposed by a dramatic story in the Saturday Evening Post.144 But the role of the BPP in the drug trade changed little, as is indicated in a recent report from the Asian Human Rights Commission in Hong Kong. Meanwhile, for at least seven years, the BPP would “capture” KMT opium in staged raids, and turn it over to the Thai Opium Monopoly. The “reward” for doing so, one-eighth the retail value, financed the BPP.143
The police force that exists in Thailand today is for all intents and purposes the same one that was built by Pol. Gen. Phao Sriyanond in the 1950s. . . . It took on paramilitary functions through new special units, including the border police. It ran the drug trade, carried out abductions and killings with impunity, and was used as a political base for Phao and his associates. Successive attempts to reform the police, particularly from the 1970s onwards, have all met with failure despite almost universal acknowledgment that something must be done.145
The last sentence could equally be applied to America with respect to the CIA’s involvement in the global drug connection.

Peter Dale Scott, a former Canadian diplomat and English Professor at the University of California, Berkeley, is the author of Drugs Oil and War, The Road to 9/11, The War Conspiracy: JFK, 9/11, and the Deep Politics of War. HisAmerican War Machine: Deep Politics, the CIA Global Drug Connection and the Road to Afghanistan from which the present article is excerpted, has just been published.
Recommended citation: Peter Dale Scott, "Operation Paper: The United States and Drugs in Thailand and Burma," The Asia-Pacific Journal, 44-2-10, November 1, 2010.

Notes
1 William O. Walker III, “Drug Trafficking in Asia,” Journal of Interamerican Studies and World Affairs 34, no. 3 (1992): 204.
2 William Peers [OSS/CIA] and Dean Brellis, Behind the Burma Road(Boston: Little, Brown, 1963), 64.
3 Burton Hersh, The Old Boys: The American Elite and the Origins of the CIA(New York: Scribner’s, 1992), 300.
4 Peter Dale Scott, “Mae Salong,” in Mosaic Orpheus (Montreal: McGill-Queen’s University Press, 2009), 45.
5 Peter Dale Scott, “Wat Pa Nanachat,” in Mosaic Orpheus, 56.
6 Note Omitted.
7 I write about this practice in Drugs, Oil, and War: The United States in Afghanistan, Colombia, and Indochina (Lanham, MD: Rowman & Littlefield, 2003).
8 There are analogies also with the history of U.S. involvement in Iraq, though here the analogies are not so easily drawn. The most relevant point is that U.S. success in the defense of Kuwait during the 1990–1991 Gulf War once again produced internal pressures, dominated by the neoconservative clique and the Cheney–Rumsfeld–Project for the New American Century cabal, which ultimately pushed the United States into another rollback campaign, the current invasion of Iraq itself.
9 G. William Skinner, Chinese Society in Thailand: An Analytical History(Ithaca, NY: Cornell University Press, 1957), 166–67; Alfred W. McCoy, The Politics of Heroin: CIA Complicity in the Global Drug Trade (Chicago: Lawrence Hill Books/Chicago Review Press, 2003), 101; Bertil Lintner, Blood Brothers: The Criminal Underworld of Asia (New York: Palgrave Macmillan, 2002), 234.
10 Carl A. Trocki, “Drugs, Taxes, and Chinese Capitalism in Southeast Asia,” in Opium Regimes: China, Britain, and Japan, 1839–1952, ed. Timothy Brook and Bob Tadashi Wakabayashi (Berkeley: University of California Press, 2000), 99.
11 McCoy, The Politics of Heroin, 102; James C. Ingram, Economic Change in Thailand, 1850–1970 (Stanford, CA: Stanford University Press, 1971), 177.
12 Skinner, Chinese Society in Thailand, 166–67, 236–44, 264–65.
13 Cf. Robert Maule, “British Policy Discussions on the Opium Question in the Federated Shan States, 1937–1948,” Journal of Southeast Asian Studies 33 (June 2002): 203–24.
14 One often reads that the Northern Army invasion of the Shan states was in support of the Japanese invasion of Burma. In fact, the Japanese army (which may have had its own designs on Shan opium) refused for some months to allow the Thai army to move until the refusal was overruled for political reasons by officials in Tokyo. See E. Bruce Reynolds, Thailand and Japan’s Southern Advance: 1940–1945 (New York: St. Martin’s, 1994), 115–17.
15 McCoy, The Politics of Heroin, 105. Cf. E. Bruce Reynolds, “‘International Orphans’—The Chinese in Thailand during World War II,” Journal of Southeast Asian Studies 28 (September 1997): 365–88: “In an effort to distance himself from the Japanese, Premier Phibun initiated secret contacts with Nationalist China through the Thai army in the Shan States and developed a scheme to transfer the capital to the northern town of Petchabun with the idea of ultimately turning against the Japanese and linking up militarily with Nationalist China.” Under orders from Thai Premier Phibun, rapprochement of the Northern Army in Kengtung with the KMT began in January 1943 with a symbolic release of prisoners followed by a cease fire (“Thailand and the Second World War”).
16 E. Bruce Reynolds, Thailand’s Secret War: The Free Thai, OSS, and SOE during World War II (Cambridge: Cambridge University Press, 2005), 170–71.
17 McCoy, The Politics of Heroin, 162–63, citing Archimedes L. A. Patti, Why Vietnam (Berkeley: University of California Press, 1980), 216–17, 265, 354–55, 487. Lung Yun’s son, Lung Shing, denied to James Mills that his father was a smuggler: “My family’s been painted as the biggest drug runner. This is nonsense. The government in the old days put a tax on opium, which is true. It’s been doing that for the past hundred years. You can’t pin it on my family for that” (James Mills, The Underground Empire: Where Crime and Governments Embrace [New York: Dell, 1986], 737).
18 The directions given by Washington to the OSS mission were to establish contact with Phibun’s political enemy, Pridi Phanomyong. However, the mission’s leader, Khap Kunchon, was secretly a Phibun loyalist with a history of sensitive missions, and this complication helps to explain Khap’s motive and success in promoting the Thai–KMT talks (Nigel J. Brailey, Thailand and the Fall of Singapore: A Frustrated Asian Revolution [Boulder, CO: Westview Press, 1986], 100).
19 Judith A. Stowe, Siam Becomes Thailand: A Story of Intrigue (Honolulu: University of Hawai‘i Press, 1991), 282. The border itself, a product of Sino–British negotiations in the nineteenth century, was an artifact, dividing the historically connected principalities of the Thai Lü in Sipsongpanna (southern Yunnan) from those of the Thai Yai (Shans) in Burma (Stephen Sparkes and Signe Howell, The House in Southeast Asia: A Changing Social, Economic and Political Domain [London: RoutledgeCurzon, 2003], 134; Janet C. Sturgeon,Border Landscapes: The Politics of Akha Land Use in China and Thailand [Seattle: University of Washington Press, 2005], 82).
20 Stowe, Siam Becomes Thailand, 282–83. I have discovered no indication as to whether Nicol Smith, the American leader of the OSS mission, was aware of the implications of the talks for the future of the Shan opium trade.
21 Reynolds, Thailand’s Secret War, 171, 175–76.
22 Reynolds, Thailand’s Secret War, 171; Brailey, Thailand and the Fall of Singapore, 100; Maochun Yu, OSS in China: Prelude to Cold War (New Haven, CT: Yale University Press, 1996), 117; John B. Haseman, The Thai Resistance Movement (Chiang Mai: Silkworm Books, 2002), 62–63; Stowe, Siam Becomes Thailand, 282; Nicol Smith and Blake Clark, Into Siam: Underground Kingdom(Indianapolis: Bobbs-Merrill, 1946), 146. According to Smith, General Lu himself took responsibility for delivering a message from OSS promising amnesty to the Northern Army; according to Haseman, the letter “was delivered to front-line Thai positions, who passed it in turn to Sawaeng [Thappasut, a former student of Khap’s], MG Han [Songkhram], LTG Chira [Wichitsongkhram], and to Marshal Phibul.”
23 Miles, Donovan’s first OSS chief for China, became more and more closely allied with the controversial Tai Li in a semiautonomous network, SACO. In December 1943 Donovan, alerted to the situation, replaced Miles as OSS China chief with Colonel John Coughlin (Richard Harris Smith, OSS: The Secret History of America’s First Central Intelligence Agency [Berkeley: University of California Press, 1972], 246–58).
24 Reynolds, Thailand’s Secret War, 191–92, citing documents of September 1944, cf. 175; Stowe, Siam Becomes Thailand, 270.
25 Cf. Jonathan Marshall, “Opium, Tungsten, and the Search for National Secu- rity, 1940–52,” in Drug Control Policy: Essays in Historical and Comparative Perspective, ed. William O. Walker III (University Park: Pennsylvania State University Press, 1992), 96: “Americans . . . knew that [Tai Li’s] agents protected Tu’s huge opium convoys”; Douglas Valentine, The Strength of the Wolf: The Secret History of America’s War on Drugs (London: Verso, 2004), 47: “It was an open secret that Tai Li’s agents escorted opium caravans from Yunnan to Saigon and used Red Cross operations as a front for selling opium to the Japanese.”
26 After the final KMT defeat of 1949, the 93rd Division received other remnants from the KMT 8th and 26th Armies and a new commander, General Li Mi of the KMT Eighth Army (Bertil Lintner, Burma in Revolt: Opium and Insurgency since 1948 [Chiang Mai: Silkworm Books, 1999], 111–15).
27 McCoy, The Politics of Heroin, 106, 188–91, 415–20.
28 Thomas Lobe, United States National Security Policy and Aid to the Thailand Police (Denver: Graduate School of International Studies, University of Denver, 1977), 27.
29 Lintner, Burma in Revolt, 192.
30 Lintner, Blood Brothers, 241–44. After Sarit died in 1963, Chin was able to return to Thailand.
31 William Stevenson, The Revolutionary King: The True-Life Sequel to The King and I (London: Constable and Robinson, 2001), 4, 162, 195. The king personally translated Stevenson’s biography of Sir William Stephenson into Thai.
32 Anthony Cave Brown, The Last Hero: Wild Bill Donovan (New York: Times Books, 1982), 797; Stevenson, The Revolutionary King, 162. In 1970, Thompson’s biographer, William Warren, described the funding of Thompson’s company in some detail but made no reference to the WCC (William Warren, Jim Thompson: The Unsolved Mystery [Singapore: Archipelago Press, 1998], 66–67). Former CIA officer Richard Harris Smith wrote that Thompson was later “frequently reported to have CIA connections” (Smith, OSS, 313n). Joe Trento, without citing any sources, places Jim Thompson at the center of this chapter’s narrative: “Jim Thompson . . . (who in fact was a CIA officer) had recruited General Phao, head of the Thai police, to accept the KMT army’s drugs for distribution” (Joseph J. Trento, The Secret History of the CIA [New York: Random House/Forum, 2001], 346). Thompson disappeared mysteriously in Malaysia in 1967; his sister, who investigated the disappearance, was brutally murdered in America a few months later.
33 Valentine, The Strength of the Wolf, 155. Helliwell in Kunming used opium, which was in effect the local hard currency, to purchase intelligence (Wall Street Journal, April 18, 1980).
34 Sterling Seagrave, The Marcos Dynasty (New York: Harper and Row, 1988), 361.
35 John Loftus and Mark Aarons, The Secret War against the Jews (New York: St. Martin’s, 1994), 110–11.
36 The best evidence of this, the M-fund reported on by Chalmers Johnson, is discussed in the next chapter. Cf. Sterling and Peggy Seagrave, Gold Warriors: America’s Secret Recovery of Yamashita’s Gold (London: Verso, 2003), 3. The Seagraves link Helliwell to the movement of Japanese gold out of the Philippines, and they suggest, by hearsay but without evidence, that both Sea Supply Inc. and Civil Air Transport were thus funded (147–48, 152). Although many of their startling allegations are beyond my competence to assess or even believe, there are at least two that I have verified from my own research. I am persuaded that in the first postwar months when the United States was already supporting and using the SS war criminal Klaus Barbie, the operation was paid by SS funds. And I have seen secret documentary proof that a large sum of gold was indeed later deposited in a Swiss bank account in the name of a famous Southeast Asian leader, as claimed by the Seagraves.
37 Leonard Slater, The Pledge (New York: Pocket Books, 1971), 175. An attorney once made the statement that Burton Kanter (Helliwell’s partner in the money-laundering Castle Bank) “was introduced to Helliwell by General William J. Donovan. . . . Kanter denied that. ‘I personally never met Donovan. I believe I may have spoken to him once at Paul Helliwell’s request’” (Pete Brewton, The Mafia, CIA and George Bush [New York: S.P.I. Books, 1992], 296).
38 In the course of Operation Safehaven, the U.S. Third Army took an SS major “on several trips to Italy and Austria, and, as a result of these preliminary trips, over $500,000 in gold, as well as jewels, were recovered” (Anthony Cave Brown, The Secret War Report of the OSS [New York: Berkeley, 1976], 565–66).
39 Amy B. Zegart, Flawed by Design: The Evolution of the CIA, JCS, and NSC(Stanford, CA: Stanford University Press, 1999), 189, citing Christopher Andrew,For the President’s Eyes Only (New York: HarperCollins, 1995), 172; see also U.S. Congress, Senate, 94th Cong., 2nd sess., Select Committee to Study Governmental Operations with Respect to Intelligence Activities, Final Report, April 26, 1976, Senate Report No. 94-755, 28–29.
40 Stevenson, The Revolutionary King, 50. Douglas Valentine claims that in mid-1947, Donovan intervened in Bangkok politics to resolve a conflict between the police and the army over the opium traffic. In 1947, Donovan was a registered foreign agent for the civilian Thai government, representing them in negotiations over the post-war border with French Indochina. Valentine reports that in mid-1947, “Donovan traveled to Bangkok to unite the squabbling factions in a strategic alliance against the Communists” and that the KMT businessmen in Bangkok who managed the flow of narcotics from Thailand to Hong Kong and Macao “benefited greatly from Donovan’s intervention” (Valentine, The Strength of the Wolf, 70). He notes also that “by mid-1947 Kuomintang narcotics were reaching America through Mexico.” What actually happened in November 1947 in Thailand was the ousting of Pridi’s civilian government in a military coup. Soon afterward the first of Thailand’s postwar military dictators, Phibun, took office. Not long after Phibun’s accession, Thailand quietly abandoned the antiopium campaign announced in 1948, whereby all opium smoking would have ended by 1953 (Francis W. Belanger, Drugs, the U.S., and Khun Sa [Bangkok: Editions Duang Kamol, 1989], 75–90).
41 Stevenson, The Revolutionary King, 50–51.
42 William O. Walker III, Opium and Foreign Policy: The Anglo-American Search for Order in Asia, 1912–1954 (Chapel Hill: University of North Carolina Press, 1991), 184–85, citing letters from Bird, April 5, 1948, and Donovan, April 14, 1948 (Donovan Papers, box 73a, Military History Institute, U.S. Army, Carlisle Barracks, Pennsylvania).
43 Paul M. Handley, The King Never Smiles: A Biography of Thailand’s Bhumipol Adulyadej (New Haven, CT: Yale University Press, 2006), 105.
44 Walker, Opium and Foreign Policy, 185.
45 Foreign Relations of the United States, 1949–1951 (hereinafter FRUS) (Washington, DC: Government Printing Office), vol. 6, 40–41; memo of March 9, 1950, from Dean Acheson, secretary of state.
46 FRUS, 1952–1954, vol. 12, 651, memo of October 7, 1952, from Edwin M. Martin, special assistant to the secretary for mutual security affairs, to John H. Ohly, assistant director for program, Office of the Director of Mutual Security (emphasis added).
47 Shortly before his dismissal on April 11, 1951, MacArthur in Tokyo issued a statement calling for a “decision by the United Nations to depart from its tolerant effort to contain the war to the area of Korea, through an expansion of our military operations to its coastal areas and interior bases [to] doom Red China to risk the imminent military collapse” (Lintner, Blood Brothers, 237).
48 Bruce Cumings, The Origins of the Korean War, vol. 2 (Princeton, NJ: Princeton University Press, 1990). Donovan in this period became vice chairman of the Committee to Defend America by Aiding Anti-Communist China.
49 Martha Byrd, Chennault: Giving Wings to the Tiger (Tuscaloosa: University of Alabama Press, 1987), 325–28; William M. Leary, Perilous Missions: Civil Air Transport and CIA Covert Operations in Asia, 1946–1955 (Tuscaloosa: University of Alabama Press, 1984), 67–68; Scott, Drugs, Oil, and War, 2.
50 Jack Samson, Chennault, 62.
51 John Prados, Safe for Democracy: The Secret Wars of the CIA (Chicago: Ivan R. Dee, 2006), 125. Cf. Los Angeles Times, September 22, 2000: “Newly declassified U.S. intelligence files tell the remarkable story of the ultra-secret Insurance Intelligence Unit, a component of the Office of Strategic Services, a forerunner of the CIA, and its elite counterintelligence branch X-2. Though rarely numbering more than a half dozen agents, the unit gathered intelligence on the enemy’s insurance industry, Nazi insurance titans and suspected collaborators in the insurance business. . . . The men behind the insurance unit were OSS head William “Wild Bill” Donovan and California-born insurance magnate Cornelius V. Starr. Starr had started out selling insurance to Chinese in Shanghai in 1919. . . . Starr sent insurance agents into Asia and Europe even before the bombs stopped falling and built what eventually became AIG, which today has its world headquarters in the same downtown New York building where the tiny OSS unit toiled in the deepest secrecy.”
52 Peter Dale Scott, The War Conspiracy: JFK, 9/11, and the Deep Politics of War (Ipswich, MA: Mary Ferrell Foundation Press, 2008), 46–47, 263–64. William Youngman, Corcoran’s law partner and a key member of Chennault’s support team in Washington during and after the war, was by 1960 president of a C. V. Starr company in Saigon.
53 Smith, OSS, 267.
54 Smith, OSS, 267n.
55 It is possible that other backers of the Chennault Plan allied themselves, like Helliwell, with organized crime. In those early postwar years, one of the C. V. Starr companies, U.S. Life, was the recipient of dubious Teamster insurance contracts through the intervention of the mob-linked business agents Paul and Allan Dorfman (Scott, Drugs, Oil, and War, 197; Scott, The War Conspiracy, 279). One of the principal supporters of Chennault’s airline on the U.S. West Coast, Dr. Margaret Chung, was suspected of drug trafficking after her frequent trips to Mexico City with Virginia Hill, a courier for Meyer Lansky and Bugsy Siegel. See Ed Reid, The Mistress and the Mafia: The Virginia Hill Story (New York: Bantam, 1972), 42, 90; Peter Dale Scott, “Opium and Empire: McCoy on Heroin in Southeast Asia,” Bulletin of Concerned Asian Scholars, September 1973, 49–56.
56 Ronald Shelp with Al Ehrbar, Fallen Giant: The Amazing Story of Hank Greenberg and the History of AIG (Hoboken, NJ: Wiley, 2006), 60.
57 Encyclopaedia Britannica. The money splashed around in Washington by the “China Lobby” was attributed at the time chiefly to the wealthy linen and lace merchant Joseph Kohlberg, the so-called China Lobby man. But it has often been suspected that he was fronting for others.
58 Lintner, Burma in Revolt, 111–14. As early as 1950, Ting was also actively promoting the concept of an Anti-Communist League to support KMT resistance (134, 234). The KMT’s ensuing Asian Peoples’ Anti-Communist League (later known as the World Anti-Communist League) became intimately involved with support for the KMT troops in Burma. In 1971 the chief Laotian delegate to the World Anti-Communist League, Prince Sopsaisana, was detained with sixty kilos of top-grade heroin in his luggage (Scott, Drugs, Oil, and War, 163, 194–95).
59 MacArthur advised the State Department in 1949 that the United States should place “500 fighter planes in the hands of some ‘war horse’ similar to Chennault” and further support the KMT with U.S. volunteers (memo of conversation, September 5, 1949, FRUS, 1949, vol. 9, 544–46; Cumings, The Origins of the Korean War, 103; Byrd, Chennault, 344). Chennault in turn told Senator Knowland that Congress should ap- point MacArthur a supreme commander for the entire Far East.
60 Donovan suggested that Chennault become minister of defense in a reconstituted KMT government. At some point Chennault and Donovan met privately with Willoughby in Japan (Cumings, The Origins of the Korean War, 513).
61 Valentine, The Strength of the Wolf, 260; Cumings, The Origins of the Korean War, 133.
62 Cumings, The Origins of the Korean War, 119–21, 796; James Burnham,The Coming Defeat of Communism (New York: John Day, 1951), 256–66.
63 David McKean, Peddling Influence: Thomas “Tommy the Cork” Corcoran and the Birth of Modern Lobbying (Hanover, NH: Steerforth, 2004), 216.
64 Hersh, The Old Boys, 299.
65 McKean, Peddling Influence, 216; Christopher Robbins, Air America(New York: Putnam’s, 1979), 48–49, 56–57, 70; Byrd, Chennault, 333; Alan A. Block, Masters of Paradise: Organized Crime and the Internal Revenue Service in the Bahamas (New Brunswick, NJ: Transaction, 1991), 169.
66 Curtis Peebles, Twilight Warriors: Covert Air Operations against the USSR(Annapolis, MD: Naval Institute Press, 2005), 88–89.
67 William R. Corson, The Armies of Ignorance: The Rise of the American Intelligence Empire (New York: Dial Press/James Wade, 1977), 320–21.
68 Hersh, The Old Boys, 284. Cf. Samuel Halpern (a former CIA officer) in Ralph S. Weber, Spymasters: Ten CIA Officers in Their Own Words (Wilmington, DE: Scholarly Resources, 1999), 117: “Bedell suddenly said, ‘They’re under my command.’ . . . He did it, and he did it in the first seven days of his tenure as DCI [director of the CIA].”
69 Corson, The Armies of Ignorance, 319; Daniel Fineman, A Special Relationship: The United States and Military Government in Thailand, 1947–1958 (Honolulu: University of Hawai‘i Press, 1997), 137; Henry G. Gole, General William E. DePuy: Preparing the Army for Modern War (Lexington: University Press of Kentucky, 2008), 80: “CIA Director Walter Bedell Smith opposed the plan, but President Truman approved it, overruled the Director, and ordered the strictest secrecy about it.”
70 Victor S. Kaufman, “Trouble in the Golden Triangle: The United States, Taiwan and the 93rd Nationalist Division,” China Quarterly, no. 166 (June 2001): 441, citing Memorandum, Bradley to Secretary of Defense, April 10, 1950, and Annex to NSC 48/3, “United States Objectives, Policies, and Courses of Action in Asia,” May 2, 1951. President’s Secretary’s File, National Security File—Meetings, box 212, Harry S. Truman Library, Independence, Missouri. Cf. Sam Halpern, in Weber, Spymasters, 119: “The Pentagon came up with this bright plan, as I understand it; at least, I was told this by my [CIA/OSO] boss, Lloyd George, who was Chief of the Far East Division at the time.”
71 Kaufman, “Trouble in the Golden Triangle,” 442–43; Fineman, A Special Relationship, 141–42.
72 Kaufman, “Trouble in the Golden Triangle,” 443: “Whether . . . Secretary of State Dean Acheson . . . knew of Operation Paper is uncertain. Acheson was present at discussions regarding the use of covert operations against China. . . . Yet since mid-1950, the secretary of state had been working to remove the irregulars. Therefore, either Acheson knew of the operation and did not inform his subordinates, or he too did not have the entire picture.” In apparent contradiction, William Walker writes that “Acheson had participated from the start in the decision-making process relating to NSC 48/5, so he was familiar with the discussions about using covert operations against China’s southern flank” (Opium and Foreign Policy, 203). But NSC 48/5, primarily a policy paper on Korea, dates from May 17, 1951, half a year later.
73 Leary, Perilous Missions, 116–17.
74 Lintner, Blood Brothers, 237, citing MacArthur on March 21, 1951, in Robert H. Taylor, Foreign and Domestic Consequences of the Kuomintang Intervention in Burma (Ithaca, NY: Cornell University Southeast Asia Program, Data Paper no. 93, 1973), 42; Chennault on April 23, 1958, in U.S. Congress, House Committee on Un-American Activities, International Communism (Communist Encroachment in the Far East), “Consultations with Maj.-Gen. Claire Lee Chennault, United States Army,” 85th Cong., 2nd sess., 9–10.
75 Leary, Perilous Missions, 129–30. Leary states that U.S. personnel delivered the arms only as far as northern Thailand, with the last leg of delivery handled by the Thai Border Police. But there are numerous contemporary reports of U.S. personnel at Mong Hsat in Burma who helped unload the planes and reload them with opium (Scott, Drugs, Oil, and War, 60; Corson, The Armies of Ignorance, 320–22). Lintner reproduces a photograph of three American civilians who were killed in action with the KMT in Burma in 1953 (Lintner, Burma in Revolt, 168). On April 1, 1953, the Rangoon Nation reported a captured letter from Major General Li’s headquarters, discussing “European instructors for the training of students.”
76 McCoy, The Politics of Heroin, 169–71; Lintner, Blood Brothers, 238. Despite this military fiasco, the KMT troops contributed to the survival of noncommunist Chinese communities in Southeast Asia both by serving as a protective shield and by sustaining the traditional social fabric of drug-financed KMT Triads in Southeast Asia. See McCoy, The Politics of Heroin, 185–86; Scott,Drugs, Oil, and War, 60, 192–93.
77 Donald F. Cooper, Thailand: Dictatorship of Democracy? (Montreux: Minerva Press, 1995), 120.
78 E.g., McCoy, The Politics of Heroin, 165–69. Cf. Tim Weiner, Legacy of Ashes: The History of the CIA (New York: Doubleday, 2007), 60: “The final theater for the CIA in the Korean War lay in Burma. In early 1951, as the Chinese Communists chased General MacArthur’s troops south, the Pentagon thought the Chinese Nationalists could take some pressure off MacArthur by opening a second front. . . . The CIA began [sic] flying Chinese Nationalist soldiers into Thailand . . . and dropping them along with pallets of guns and ammunition into northern Burma.” Cf. Walker, Opium and Foreign Policy, 200: “Some aid was already reaching KMT forces in Burma . . . months before the January 1951 NSC meeting.”
79 Fineman, A Special Relationship, 289n25.
80 Fineman, A Special Relationship, 137.
81 U.S. Treasury Department, Bureau of Narcotics, Traffic in Opium and Other Dangerous Drugs (Washington, DC: Government Printing Office, 1949), 13; (1950), 3; (1954), 12. Through the same decade, the FBN, by direction of the U.S. State Department, acknowledged to UN Narcotics Conferences that Thailand was a source for opium and heroin reaching the United States (Scott,Drugs, Oil, and War, 191, 203, citing UN Documents E/CN.7/213, E/CN.7/283, 22, and E/CN.7//303/Rev.1, 34; cf. Walker, Opium and Foreign Policy, 201 [State Department]). When the FBN Traffic in Opium reports began to acknowledge Thai drug seizures again in 1962, the Kennedy administration had already initiated serious efforts to remove the bulk of the KMT troops from the region (Kaufman, “Trouble in the Golden Triangle,” 452).
82 Walker, Opium and Foreign Policy, 206, cf. 213–15. Cf. also Valentine,The Strength of the Wolf, 133, 150–52. Anslinger was not alone in blaming heroin flows on mainland China. He was joined in the attack by two others with CIA connections: Edward Hunter (a veteran of OSS China and OPC who in turn was fed information regularly by Chennault) and Richard L. G. Deverall of the American Federation of Labor’s Free Trade Union Committee (under the CIA’s labor asset Jay Lovestone).
83 Scott, Drugs, Oil, and War, 7, 60–61, 198, 207, citing Penny Lernoux, In Banks We Trust (Garden City, NY: Anchor/Doubleday, 1984), 42–44, 84.
84 Fineman, A Special Relationship, 215.
85 I explore this question in Scott, Drugs, Oil, and War, 60–64.
86 Gole, General William E. DePuy, 80.
87 Chennault himself was investigated for such smuggling activities, “but no official action was taken because he was politically untouchable” (Marshall, “Opium, Tungsten, and the Search for National Security, 1940–52,” 92); cf. Barbara Tuchman, Stilwell and the American Experience in China, 1911–1945, 7–78; Paul Frillmann and Graham Peck, China: The Remembered Life (Boston: Houghton Mifflin, 1968), 152.
88 Corson, The Armies of Ignorance, 322.
89 Valentine, The Strength of the Wolf, 71, quoting Reid, The Mistress and the Mafia, 42.
90 Marshall, “Opium, Tungsten, and the Search for National Security, 1940–52,” 98, citing OSS CID 126155, April 19, 1945.
91 Marshall, “Opium, Tungsten, and the Search for National Security, 1940–52.”
92 Andrew Forbes and David Henley, The Haw: Traders of the Golden Triangle (Bangkok: Teak House, 1997).
93 Cooper, Thailand, 116.
94 Wen-chin Chang, “Identification of Leadership among the KMT Yunnanese Chinese in Northern Thailand, Journal of Southeast Asian Studies 33 (2002): 125. Chang calls this name “a popular misnomer” on the grounds that the KMT villages have been expanding and “slowly casting off their former military legacy.”
95 Taylor, Foreign and Domestic Consequences of the Kuomintang Intervention in Burma, 10.
96 McCoy, The Politics of Heroin, 162–63.
97 Sucheng Chan, Hmong Means Free: Life in Laos and America(Philadelphia: Temple University Press, 1994), 1942; cf. John T. McAlister, Viet Nam: The Origins of Revolution (Garden City, NY: Doubleday, 1971), 228; Scott,The War Conspiracy, 267.
98 Timothy Brook and Bob Tadashi Wakabayashi, eds., Opium Regimes: China, Britain, and Japan, 1839–1952 (Berkeley: University of California Press, 2000), 261–79; Jonathan Marshall, “Opium and the Politics of Gangsterism in Nationalist China, 1927–1945,” Bulletin of Concerned Asian Scholars, July–September 1976, 19–48; Laura Tyson Li, Madame Chiang Kai-shek: China’s Eternal First Lady (New York: Atlantic Monthly Press, 2006), 107, citing Nelson T. Johnson to Stanley K. Hornbeck, May 31, 1934, box 23, Johnson Papers, Library of Congress.
99 In global surveys of the opium traffic, one regularly reads of the importance of Teochew (Chiu chau) triads in the postwar Thai drug milieu (e.g., Martin Booth, Dragon Syndicates: The Global Phenomenon of the Triads [New York: Carroll and Graf, 1999], 176–77; McCoy, The Politics of Heroin, 389, 396). Although triads are central to trafficking in Hong Kong, and today possibly inside China, I question whether the Teochew in Thailand, although they certainly are prominent in the drug trade there, are still as dominated by triads as they were before World War II. Cf. Skinner, Chinese Society in Thailand, 264–67.
100 Valentine, The Strength of the Wolf, 14, citing Melvin L. Hanks, NARC: The Adventures of a Federal Agent (New York: Hastings House, 1973), 37, 162–66; Brook and Wakabayashi, Opium Regimes, 263. For an overview of U.S. knowledge of KMT drug trafficking, see Marshall, “Opium and the Politics of Gangsterism in Nationalist China, 1927–1945.”
101 Valentine, The Strength of the Wolf, 72–73, citing Terry A. Talent report of November 15, 1946; Douglas Clark Kinder and William O. Walker III, “Stable Force in a Storm: Harry J. Anslinger and United States Narcotics Policy, 1930–1962,” Journal of American History, March 1986, 919.
102 Valentine, The Strength of the Wolf, 77.
103 Victor S. Kaufman, Confronting Communism: U.S. and British Policies toward China (Columbia: University of Missouri Press, 2001), 20–21.
104 Cumings, The Origins of the Korean War, 508–25; Robert Accinelli, Crisis and Commitment: United States Policy toward Taiwan, 1950–1955 (Chapel Hill: University of North Carolina Press, 1996), 271–72; Ross Y. Koen, The China Lobby in American Politics (New York: Harper and Row, 1974), 46, 48–51. Elsewhere I have described Commerce International China as a subsidiary of the WCC. Since then, I have learned that it was a firm founded in Shanghai in 1930. I now doubt the alleged WCC connection. Later, Fassoulis was indicted in a huge organized crime conspiracy to defraud banks in a stock swindle (New York Times, September 12, 1969; Peter Dale Scott, Deep Politics and the Death of JFK[Berkeley: University of California Press, 1998], 168–69, 178). By 2005, Fassoulis was worth $150 million as chairman and CEO of CIC International, the successor to Commerce International China; his company, now supplying the U.S. armed services, was predicted to do $870 million of business (“The 50 Wealthiest Greeks in America,” National Herald, March 29, 2008). There have been speculations that the “U.S. Central Intelligence Agency . . . may actually support CIC International, Ltd. so it remains in business as one of its many brokers for arms, technology components, logistics on transactions significant to intelligence operations” (Paul Collin, “Global Economic Brinkmanship”).
105 Scott, Drugs, Oil, and War, 188.
106 McCoy, The Politics of Heroin, 185.
107 Scott, Drugs, Oil, and War, 192–93. Anslinger’s protection of the KMT traffic had the additional consequence of strengthening and protecting pro-KMT tongs in America. In 1959, when a pro-KMT Hip Sing tong network distributing drugs was broken up in San Francisco, a leading FBN official with OSS–CIA connections, George White, blamed the drug shipment on communist China while allowing the ringleader to escape to Taiwan (Scott, Drugs, Oil, and War, 63; Valentine, The Strength of the Wolf, 195).
108 Walker, Opium and Foreign Policy, 214.
109 Joe Studwell, Asian Godfathers: Money and Power in Hong Kong and Southeast Asia (New York: Atlantic Monthly Press, 2007), 95–96.
110 J. W. Cushman, “The Khaw Group: Chinese Business in Early Twentieth- Century Penang,” Journal of Southeast Asian Studies 17 (1986): 58; cf. Trocki, “Drugs, Taxes, and Chinese Capitalism in Southeast Asia,” 99–100.
111 Marshall, “Opium, Tungsten, and the Search for National Security, 1940–52,” 106. The KMT obtained the tungsten from Karen rebels controlling a major mine at Mawchj in exchange for modern arms provided by the CIA.
112 Fineman, A Special Relationship, 133, 153. Bird at the time was a “private aviation contractor” (McCoy, The Politics of Heroin, 168), and aviation was the key to the BPP strategy of defending the Thai frontier because the Thai road system was still primitive in the border areas. Because Bird included in this committee his brother-in-law, Air Force Colonel Sitthi Savetsila, Sitthi became one of Phao’s closest aides-de-camp and his translator. In the 1980s he served for a decade as foreign minister in the last Thai military government.
113 I have not been able to establish the identity of this OPC officer. One possibility is Desmond Fitzgerald, who became the overseer and champion of Sea Supply, Operation Paper, the BPP, and (still to be discussed) PARU. Another possibility is Paul Helliwell.
114 Lobe, United States National Security Policy and Aid to the Thailand Police, 19–20.
115 Fineman, A Special Relationship, 137; McCoy, The Politics of Heroin, 165.
116 Fineman, A Special Relationship, 134, emphasis added.
117 McCoy, The Politics of Heroin, 168–69: Sherman Joost, the OPC officer who headed Sea Supply in Bangkok, “had led Kachin guerrillas in Burma during the war as a commander of OSS Detachment 101.”
118 Walker, Opium and Foreign Policy, 200, 205.
119 McCoy, The Politics of Heroin, 168.
120 Scott, Drugs, Oil, and War, 187–89, 201–2; Robbins, Air America, 48–49, 56–57, 70; Leary, Perilous Missions, 110–12.
121 Chen Han-Seng, “Monopoly and Civil War in China,” Institute of Pacific Relations, Far Eastern Survey 15, no. 20 (October 9, 1946): 308.
122 Scott, Drugs, Oil, and War, 187–89. CAT was not the only airline supplying Li Mi. There was also Trans-Asiatic Airlines, described as “a CIA outfit operating along the Burma-China border against the People’s Republic of China” and based in Manila (Roland G. Simbulan, “The CIA in Manila,” Nathan Hale Institute for Intelligence and Military Affairs, August 18, 2000). On April 10, 1948, an operating agreement was signed in Thailand between the new Thai government of Phibun and Trans-Asiatic Airlines (Siam) Limited (Far Eastern Economic Review 35 [1962]: 329). Note that this was two months before NSC 10/2 formally directed the CIA to conduct “covert” rather than merely “psychological” operations and five months before the creation of the OPC in September 1948.
123 Lintner, Burma in Revolt, 146.
124 FRUS, 1951, , vol. 6, pt. 2, 1634; Fineman, A Special Relationship, 150–51. The memo described Bird as “the character who handed over a lot of military equipment to the Police, without any authorization as far as I can determine, and whose status with CAS [local CIA] is ambiguous, to say the least.”
125 Fineman, A Special Relationship, 133, 153. Handley’s otherwise well-informed account wholly ignores Bird’s role in preparing for the coup (The King Never Smiles, 113–15).
126 Scott, Drugs, Oil, and War, 40, citing McCoy, The Politics of Heroin, 162, 286–87. McCoy’s estimate of the KMT’s impact on expanding production is ex- tremely conservative. According to Bertil Lintner, the foremost authority on the Shan states of Burma, “The annual production increased from a mere 30 tons at the time of independence [1945] to 600 tons in the mid-1950s” (Bertil Lintner, “Heroin and Highland Insurgency,” in War on Drugs: Studies in the Failure of U.S. Narcotics Policy, ed. Alfred W. McCoy and Alan A. Block [Boulder, CO: Westview Press, 1992], 288). Furthermore, the KMT exploitation of the Shan states led thousands of hill tribesmen to flee to northern Thailand, where opium production also increased.
127 Mills, Underground Empire, 789. Mills also quotes General Tuan as saying that the Thai Border Police “were totally corrupt and responsible for transportation of narcotics.” Mills comments, “This was of some interest, since the BPP, a CIA creation, was known to be controlled by SRF, the Bangkok CIA station” (Mills, Underground Empire, 780). For details on the CIA–BPP relationship in the 1980s, see Valentine’s account (from Drug Enforcement Administration sources), The Strength of the Pack, 254–55.
128 Scott, Drugs, Oil, and War, 62–63, 193.
129 Kaufman, “Trouble in the Golden Triangle,” 443.
130 Fineman, A Special Relationship, 141.
131 Rangoon Nation, March 30, 1953; Cooper, Thailand, 123; McCoy, The Politics of Heroin, 174; Lintner, Burma in Revolt, 139.
132 McCoy, The Politics of Heroin, 174–76; Leary, Perilous Missions, 195–96; Lintner, Blood Brothers, 238; Life, December 7, 1953, 61.
133 McCoy, The Politics of Heroin, 177–78.
134 Peter Grose, Gentleman Spy: The Life of Allen Dulles (Boston: Richard Todd/ Houghton Mifflin, 1994), 324.
135 According to McCoy (The Politics of Heroin, 178), a CAT pilot named Jack Killam “was murdered in 1951 after an opium deal went wrong and was buried in an unmarked grave by CIA [i.e., OPC] agent Sherman Joost”—the head of Sea Supply. Joseph Trento, citing CIA officer Robert Crowley, gives the almost certainly bowd-lerized version that two “drunk and violent” CAT pilots “shot it out in Bangkok” (Trento, The Secret History of the CIA, 347). According to William Corson, “Several theories have been advanced by those familiar with the Killam case to suggest that the trafficking in drugs in Southeast Asia was used by the CIA as a self-financing device to pay for services and persons whose hire would not have been approved in Washington . . . or that it amounted to the actions of ‘rogue’ intelligence agents” (Corson, The Armies of Ignorance, 323). One consequence of these intrigues was that, as we have seen, OPC was abolished. At this time OPC Far East Director Richard Stilwell was rebuked severely by CIA Director Bedell Smith and transferred to the military. In the Pentagon, “by the end of 1981, Stilwell was running one of the most secret operations of the government” in conjunction with ex-CIA officer Theodore Shackley, a protégé of Stilwell’s former OPC deputy, Desmond Fitzgerald (Joseph J. Trento, Prelude to Terror: The Rogue CIA and the Legacy of America’s Private Intelligence Network [New York: Carroll and Graf, 2005], 213). Stilwell was advising on the creation of the U.S. Joint Special Operations Command.
136 Marchetti and Marks, CIA and the Cult, 383.
137 Hersh, The Old Boys, 301, quoting Polly (Mrs. Clayton) Fritchey. Other men prominent in the cabal responsible for Operation Paper were also Republican activists. One was Paul Helliwell, who became very prominent in Florida Republican Party politics, thanks in part to funds he received from Thailand as the Thai consul general in Miami. Harry Anslinger was a staunch Republican and owed his appointment as the first director of the FBN to his marriage to a niece of the Republican Party magnate (and Treasury Secretary) Andrew Mellon (Valentine,The Strength of the Wolf, 16). Donovan, married to a New York heiress and an OPC consultant in the late Truman years, had a lifelong history of activism in New York Republican Party politics.
138 A perhaps unanswerable deep historical question is whether some of these men, and especially Helliwell, were aware that KMT profits from the revived drug traffic out of Burma were funding the China Lobby’s heavy attack on the Truman administration in general and on Dean Acheson and George C. Marshall in particular. (We shall see that in the later 1950s, Donovan and Helliwell received funds from Phao Sriyanon for the lobbying of Congress, supplanting those of the moribund China Lobby. Cf. Fineman, A Special Relationship, 214–15.) Citing John Loftus and others, Anthony Summers has written that Allen Dulles, before joining the CIA, had contributed to the young Richard Nixon’s first election campaign and possibly had also supplied him with the explosive information that made Nixon famous: that former State Department officer Alger Hiss had known the communist Whittaker Chambers (Anthony Summers with Robbyn Swann, The Arrogance of Power: The Secret World of Richard Nixon [New York: Viking, 2000], 62–63).
139 Sydney Souers (the first director, Central Intelligence Group, 1946) was born in Dayton, Ohio. Hoyt Vandenberg (director, Central Intelligence Group, 1946–1947) was born in Milwaukee, Wisconsin. Roscoe Hillenkoetter (the third and first director of the CIA, 1947–1949) was born in St. Louis. Walter Bedell Smith (the fourth director of the CIA, 1949–1953) was born in Indianapolis.
140 For the details, see Scott, The War Conspiracy, 261. The one from Boston, Robert Amory, was no less Social Register, and his brother, Cleveland Amory, wrote a best-seller, Who Killed Society, 1960).
141 Weiner, Legacy of Ashes, 52–53. It may be relevant that Bedell Smith himself was a right-wing Republican who reportedly once told Eisenhower that Nelson Rockefeller “was a Communist” (Smith, OSS, 367).
142 McCoy, The Politics of Heroin, 165–78; cf. Trento, The Secret History of the CIA, 71.
143 McCoy, The Politics of Heroin, 184.
144 Darrell Berrigan, “They Smuggle Drugs by the Ton,” Saturday Evening Post, May 5, 1956, 42.
145 “Thailand: Not Rogue Cops but a Rogue System,” a statement by the Asian Human Rights Commission, AHRC-STM-031-2008, January 31, 2008.
For all articles by this author click here

http://www.drugs-forum.com/forum/showthread.php?t=86944&page=15

http://thaienews.blogspot.com/2009/09/9.html

วันอาทิตย์, กันยายน 27, 2009

เหตุการณ์สวรรคตยุวกษัตริย์รัชกาลที่8
(อ่านรายละเอียดคลิ้กที่นี่) เหตุการณ์สวรรคตของยุวกษัตริย์ ในหลวงรัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 หรือ 63 ปีล่วงมาแล้ว ถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอีกครั้งโดยนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ดร.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ซึ่งเขียนกระทู้ในเวบไซต์ฟ้าเดียวกันในหัวข้อ(พรีวิว) ข้อมูลใหม่กรณีสวรรคต : หลวงธำรงระบุชัด ผลการสอบสวน ใครคือผู้ต้องสงสัยที่แท้จริงเอาไว้เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมานี้

อย่าง ไรก็ตามนับถึงวันนี้(27กันยายน2552)ยังไม่ปรากฎว่าดร.สมศักดิ์ได้นำเสนอบท ความฉบับเต็มแต่อย่างใด กระนั้นก็ดีได้มีผู้อ้างว่า มีข้อมูลเอกสารเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้เปิดเผยพล็อตเรื่องที่สำคัญไว้

ดร.สมศักดิ์เขียนรายละเอียดกระทู้เรื่องพรีวิวฯว่า ผม เริ่มศึกษากรณีสวรรคตอย่างจริงจังเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน นอกจากอ่านหนังสือที่มีอยู่ในขณะนั้นแล้ว ผมยังได้มีโอกาสสัมภาษณ์บุคคลที่มีชีวิตร่วมสมัยทศวรรษ 2490 ที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนั้นหลายคน

รวมทั้งคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "ลูกศิษย์ปรีดี" เช่น คุณสงวน ตุลารักษ์, คุณจรูญ สืบแสง และคุณชิต เวชประสิทธิ์ (คุณชิต เป็นหนึ่งในคณะทนายจำเลย นอกจากนี้ ก่อนรัฐประหาร 16 กันยายน 2500 

ปรีดี พนมยงค์

คุณชิตเป็น 1 ใน 2 "ลูกศิษย์อาจารย์" ที่ "นำสาร" จากจอมพล ป ไปให้ปรีดีที่เมืองจีน เสนอให้กลับมาร่วมมือกันต่อสู้กับพวกนิยมเจ้า โดยรื้อฟื้นคดีสวรรคตขึ้นใหม่ - ผมเล่าเรื่องนี้ไว้ในบทความเรื่อง "ปรีดี พนมยงค์, จอมพล ป., กรณีสวรรคต และรัฐประหาร 2500" รวมอยู่ในหนังสือของผม ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง, หน้า 31-35 และ "50 ปีการประหารชีวิต 17 กุมภาพันธ์ 2498" ใน ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2548 หรือฉบับออนไลน์ที่ http://somsakwork.blogspot.com/2006/06/blog-post.html )

ท่าน ผู้หญิงพูนศุข ผมก็เคยได้พบพูดคุยด้วยครั้งหนึ่ง (ด้วยความช่วยเหลือของคุณ"ป้า"ฉลบชลัยย์ พลางกูร) แต่เมื่อผมถามถึงกรณีสวรรคต ท่านผู้หญิง ไม่อธิบายอะไร นอกจากเสนอให้ผมไปอ่านงานของปรีดีเองที่เพิ่งตีพิมพ์ในช่วงนั้นภายใต้ชื่อ คำตัดสินใหม่ กรณีสวรรคต (ตัวงานนี้จริงๆเป็นคำฟ้อง ซึ่งปรีดีเป็นผู้ร่างเอง) อันที่จริง งานชิ้นนี้ ในความเห็นของผม ไม่ได้อธิบายกรณีสวรรคตในแง่เกิดอะไรขึ้นนัก แม้จะมีประเด็นทางข้อกฎหมายบางอย่างที่น่าสนใจ

ข้อมูลอย่างหนึ่งที่ ผมได้จากการสัมภาษณ์หลายคนคือ ปรีดีเอง จะไม่ยอมพูดถึงกรณีสวรรคตโดยเด็ดขาด ไม่ว่ากับใคร (เรื่องนี้ ปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งไม่ใช่ "ลูกศิษย์ปรีดี" เคยเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยแวะไปเยี่ยมปรีดีที่ปารีส ระหว่างที่เดินเล่นคุยกันไป เขาเอ่ยปากถามปรีดีขึ้นมาถึงกรณีสวรรคต ปรากฏว่า ปรีดีหยุดพูดทันที และนิ่งเงียบไม่ยอมพูดอะไรทั้งสิ้น จนเขาต้องเปลี่ยนเรื่องคุยเอง)

แต่ อีกอย่างหนึ่งที่ผมได้รับการบอกเล่าเสมอ โดยเฉพาะจาก "ลูกศิษย์อาจารย์" คือ "อาจารย์ปรีดี เป็นผู้ปกป้องราชบัลลังก์ และยอมเสียสละตัวเองอย่างสูง" นัยยะของข้อความที่มีลักษณะเชิง "รหัส" (coded message) แบบนี้คือ ปรีดี รู้ความจริงเกี่ยวกับกรณีสวรรคต แต่ไม่ยอมเปิดเผยออกไป เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ ทั้งๆที่ตัวเองต้องได้รับผลร้ายจากการไม่พูดนี้

แต่ เมื่อผมพยายามซักให้ผู้เล่าขยายความว่า การไม่พูดความจริง จะเป็นการปกป้องราชบัลลังก์อย่างไร ก็มักได้รับความเงียบหรือการปฏิเสธที่จะพูดต่อเป็นคำตอบ (อย่าลืมว่า นี่คือช่วงครึ่งแรกของทศวรรษ 2520 ซึ่งปรีดีเองยังมีชีวิตอยู่ และกรณีสวรรคตยังมีลักษณะ "ต้องห้าม" มากกว่าปัจจุบันนี้)

หลายปี หลังจากนั้น ผมมองว่า การไม่ยอมพูดสิ่งที่เขารู้หรือคิดเกี่ยวกับกรณีสวรรตโดยแท้จริง เป็น "ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์" ครั้งที่สอง ของปรีดี (เกี่ยวกับ "ความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์" ครั้งแรกของปรีดีในทัศนะของผม ดูบทความชื่อนี้ใน ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง) แต่ก็เป็นสิ่งที่มีความน่าสนใจในตัวเองมากๆ ที่ใครสักคนในฐานะอย่างปรีดี จะคิดว่า "ยอมเสียสละ" หรือยอม "รับเคราะห์" ในเรื่องอย่างกรณีสวรรคตเสียเอง (อันที่จริง แน่นอนว่า ไม่เพียงปรีดี ที่ต้อง "รับเคราะห์" ในเรื่องนี้ ผู้ที่ "รับเคราะห์" มากที่สุด คือ คุณชิต, คุณบุศย์ และ คุณเฉลียว 3 จำเลยที่ถูกประหารชีวิตไป - ผมได้รับการบอกเล่าในลักษณะเดียวกันว่า 3 ท่านนั้น ได้เสียสละอย่างสูงเพื่อสถาบันกษัตริย์เช่นกัน)

อะไรคือสิ่งที่ปรีดี ไม่ยอมพูดเกี่ยวกับกรณีสวรรคต? ปรีดีไม่ใช่เป็น "พยานรู้เห็นในที่เกิดเหตุ" ก็จริง เพราะไม่ได้อยู่บริเวณพระที่นั่งบรมพิมาณ ในแง่นี้ เขาย่อมไม่สามารถ "เห็น" ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในที่นั้น (ไม่เหมือนคุณชิต และคุณบุศย์ - คุณเฉลียวเองก็ไม่เกี่ยวข้องกับที่เกิดเหตุเช่นกัน อันที่จริง เรียกว่าไม่เกี่ยวข้องกับกรณีสวรรคตเลย แต่ถูกลากเข้าไปเป็นจำเลย เพื่อเป็นข้ออ้างเชื่อมโยงปรักปรำปรีดีเท่านั้น)

แต่กรณีสวรรคตมี ผลกระทบต่อชีวิตของปรีดีโดยตรงมหาศาลเพียงใด คงไม่ต้องอธิบาย ยังไม่ต้องพูดถึงผลกระทบมหาศาลต่อประวัติศาสตร์ของประเทศไทยที่ปรีดีมีบทบาท สำคัญอยู่ด้วย ดังนั้น อย่างไรเสีย ปรีดีจะต้องคิดและพยายามหาคำอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน โดยเฉพาะหลังจากเขาถูกรัฐประหารหมดอำนาจไปโดยข้ออ้างกรณีสวรรคตด้วย แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า ปรีดีจะต้องมีข้อสรุป หรืออย่างน้อยที่สุดคือ ทฤษฎีหรือสมมุติฐานเกี่ยวกับกรณีสวรรตแน่ (และไม่ใช่เพียงแค่สรุปว่า "อธิบายไม่ได้" - ถ้าเราพิจารณาถึงความสำคัญของกรณีนี้ต่อตัวเขาเอง) อันทีจริง

หลังจากผมได้ศึกษากรณีสวรรตมาหลายปี ผมพบว่า การอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในกรณีนั้น หาใช่เรื่อง "ลึกลับซับซ้อน" อย่างมากมายแต่อย่างใด "ปริศนา" ที่แท้จริงของกรณีนี้ ไมใช่อยู่ที่การอธิบายไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่อยู่ที่ว่าทำไมการอธิบายที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรนัก จึงไม่ได้รับการนำเสนอแต่ต้น (ดูบทความชุด “ปริศนากรณีสวรรคต” ตอนที่ 1 และ 2 ของผม ใน ฟ้าเดียวกัน ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 เมษายน-มิถุนายน 2551 หรือ ฉบับออนไลน์ที่ http://somsakwork.blogspot.com/2007/11/blog-post.html ซึ่งยิ่งทำให้ผมมั่นใจเด็ดขาดว่า ปรีดีเองจะต้องสามารถอธิบายได้หรือมีคำอธิบายกรณีนี้แน่นอน

แต่ เรื่องนี้ – ที่ว่าปรีดีต้องมีทฤษฎี/คำอธิบายเกี่ยวกับกรณีสวรรคต – ผมไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้เป็นเวลานาน และโดยเฉพาะไม่สามารถยืนยันได้ว่าทฤษฎีหรือคำอธิบายดังกล่าว(ถ้ามี) จะออกมาในรูปใด

. . . . . . . จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้

ได้มี ผู้อ่านบางท่านได้มอบเอกสารสำคัญชุดหนี่งให้ผมเพราะเห็นว่าผมสนใจกรณีสวรรคต เอกสารดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ ผู้ซึ่งปรีดีไว้วางใจให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อจากเขา (พูดด้วยภาษาสมัยนี้คือ เป็น นายกฯ "นอมินี" ของปรีดีนั่นเอง) ได้เคยระบุอย่างชัดเจนว่า หลักฐานที่ได้จากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ในสมัยที่เขาเป็นรัฐบาล บ่งบอกว่าใครคือผู้ต้องสงสัยแท้จริงในกรณีสวรรคต (แน่นอน ไม่ใช่ 3 ท่านที่ตกเป็นจำเลยหลังรัฐประหาร) ที่สำคัญ การระบุของหลวงธำรงเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นเรืองที่มาทำหลังเหตุการณ์นับสิบปี แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นเอง คือหลังรัฐประหารเพียงไม่กี่เดือน (หรือหลังกรณีสวรรคตไม่ถึง 2 ปี)

หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์

พูดง่ายๆคือ ตั้งแต่ ไม่นานหลังการสวรรคต และก่อนที่จะเกิดรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน 2490 หลวงธำรง – และแทบไม่ต้องสงสัยว่าตัวปรีดีเอง – มีข้อสรุปอยู่แล้วว่าใครคือผู้ต้องสงสัยแท้จริง .....
หมายเหตุ: นี่เป็น "พรีวิว" pre-view หรือ "หนังตัวอย่าง" โปรดคอยติดตามบทความฉบับเต็ม เร็วๆนี้ (นี่ไม่ใช่ “ตอนที่ 3” ของบทความชุด “ปริศนากรณีสวรรคต” เพราะ”ข้อมูลใหม่” ที่ผมได้รับนี้ ได้รับหลังจากผมได้ทำบทความชุด “ปริศนา” ไปแล้ว และมีความน่าสนใจในตัวเอง ผมจึงแยกเขียนออกเป็นบทความต่างหาก)
ปริศนาที่ยังเป็นปริศนา..
ใน กระทู้ที่ดร.สมศักดิ์เขียนไว้นั้น มีผู้ใช้นามแฝงว่าcele อ้างว่าสนิทสนมกับท่านผู้หญิงพูนศุข พนมยงค์ ภริยานายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีในช่วงที่เกิดกรณีสวรรคตได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า "หลวงธำรงฯสรุปว่า เป็นการฆาตกรรมโดยระบุว่า...... แต่ยังมีการโต้แย้งเรื่องบทลงโทษว่าจะเอาผิดได้หรือไม่ โดยบางคนยังแย้งว่าไม่สามารถลงโทษได้เพราะรัฐธรรมนูญคุ้มครอง บางคนแย้งว่าเอาผิดได้ เพราะความผิดเกิดก่อน โดยจะให้จุมภฏ(พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร กรมหมื่นนครสวรรค์ศักดิพินิต) มาแทน

อ่านมานานแล้วครับ"

ซึ่งดร.สมศักดิ์ได้เขียนในกระทู้ถามกลับถึงผู้ใช้นามแฝงceleว่า"ขอเรียนถามว่า พอจะบอกได้หรือเปล่าครับ ว่าอ่านจากที่ใด?
เพราะเท่าที่บรรยายมา มากกว่าที่ผมได้อ่านเสียอีก อันนี้ถามด้วยความอยากรู้จริงๆขอบคุณ"

ผู้ ใช้นามแฝงว่าceleได้อ้างว่าเขาสนิทสนมกับท่านผู้หญิงพูนศุข และได้ศึกษากรณีนี้มานาน ทั้งได้ระบุว่า "ผมเห็นว่า อ.สมศักดิ์ ใกล้ที่จะเขียนเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมอยากให้ทุกท่านที่สนใจเรื่องนี้อดใจรอ อ.สมศักดิ์ อีกนิด เพราะมันเป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากๆ ซึ่งน่าจะเป็นเอกสารชิ้นเดียวกับที่ผมเคยอ่าน และถ้ามีอะไร ที่ผมรู้ ที่ของอาจารย์ ไม่มีผมจะเติมให้ครับ "
เปิดเอกสารซึ่งอ้างว่าเป็นเอกสารลับของปรีดี พนมยงค์
เรื่อง หนึ่งซึ่งคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ไทยร่วมสมัยรับรู้กันดีก็คือ ได้มีการเผยแพร่เอกสารฉบับหนึ่ง ซึ่งมีลายเซ็นของนายปรีดี โดยการขีดฆ่าลบวันที่ในหัวจดหมายออกไป (แต่หากเนื้อหาจดหมายนี้จริง หรือมีการเขียนจริงเรื่องก็ควรต้องเกิดหลังการประหารชีวิตจำเลยในคดีนี้ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 ไปแล้ว และต้องเป็นก่อนเหตุการณ์การทำรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลจอมพลป.ในปีพ.ศ.2500) เนื้อความมีดังต่อไปนี้
เรียน...

หลังจาก ที่มีการประหารชีวิตของผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสาม คือคุณเฉลียว ปทุมรส คุณชิต สิงหเสนี และคุณบุศย์ ปัทมศริน ผู้ถูกกล่าวหาในคดีลอบปลงพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหดิล และผมก็ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้อง และเห็นว่าเพื่อช่วยให้ความเข้าใจของผมแจ่มแจ้งขึ้น ผมขออธิบายสิ่งที่ผมทราบทั้งหมดดังนี้คือ

ผมได้รับการติดต่อ และได้รับข้อมูลบางอย่างจากคนสนิทของท่านจอมพลป.พิบูลสงครามในช่วงที่ผมลี้ภัยอยู่ที่ประเทศจีน รายละเอียดคือ

" วันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498 ก่อนที่จะมีการประหารผู้ถูกประหารทั้งสาม คุณชิต สิงหเสนี ได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ฟังว่าวันเกิดเหตุ กระผม(หมายถึงคุณชิต สิงหเสนี)นั่งอยู่ที่ทางเข้าห้องพระบรรทมในช่วงเช้าวันที่ 9 มิถุนายน2489 พร้อมกับนายบุศย์ ปีทมศริน กระผมเห็น[xxx]เข้าไปในห้องพระบรรทม ก่อนที่จะมีเสียงปืนลั่น ประมาณไม่เกินสิบนาที หลังจากนั้นผมวิ่งเข้าไปในห้องพระบรรทม เห็น[xxx]กันแสงอยู่ใกล้แท่นบรรทม หลังจากนั้นกระผมได้วิ่งออกไปจากห้องพระบรรทม และกระผมได้เล่าให้[yyy] และ[aaa] ซึ่งท่านขอให้กระผม และนายบุศย์อย่านำเรื่องที่เห็นไปพูดกับใครที่ไหน และท่านจะช่วยครอบครัวของกระผม และนายบุศย์อย่างเต็มที่"

ปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายที่จะแก้ไขคำพิพากษาที่ไม่ถูกต้องของศาลฎีกา ท่านจอมพลป.พิบูลสงครามมีความคิดที่จะให้มีกฎหมายที่สามารถกระทำได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เพราะได้รับการต่อต้านอย่างมากจากผู้ที่เสียผลประโยชน์ ผมขอให้ท่านช่วยให้ความชัดเจนเรื่องที่เกิดขึ้น และขอขอบคุณมากสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้ทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ

ด้วยความรักและคิดถึง

(ลายมือชื่อนายปรีดี พนมยงค์)

อย่างไรก็ดีเราขอย้ำว่า ยังควรตั้งข้อสงสัยไว้หลายประเด็นเกี่ยวกับเอกสารนี้คือ

1.จดหมายนี้มีการเขียนขึ้นจริงหรือไม่?

2. หากนายปรีดีเขียนขึ้นจริง ก็ต้องพึงระวังให้มาก เพราะไม่ควรลืมว่านายปรีดีเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างสาหัสจากกรณีสวรรคต อันอคติที่จะเกิดขึ้นได้ หรือเพื่อปกป้องตัวเองของนายปรีดีก็อาจจะเกิดขึ้นได้

3.หากนายปรีดี เขียนขึ้นจริง ก็ต้องพึงระวังว่า นายปรีดีทราบมาจากคนสนิทของจอมพลป.(ตามประวัติเอกสารว่านายสังข์ พัฒโนทัย คนสนิทจอมพลป.มาเล่าให้นายปรีดีฟัง)อีกทอดหนึ่ง
สถานการณ์ทางการเมืองเวลานั้นจอมพลป.
กำลังถูกวัดรอยเท้าจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัตน์
(ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้นำรัฐประหารโค่นล้มจอมพลป.)
ซึ่งสฤษดิ์นั้นได้ รับการสนับสนุนจากกลุ่มจารีตนิยม
และมหาอำนาจอเมริกา(ซึ่งอเมริกาไม่ไว้ใจจอมพลป.
ที่นิยมญี่ปุ่น)ก็อาจทำให้ กลุ่มจอมพลป.มีอคติ
อยู่เป็นพื้นฐาน

4.หรือหากสิ่งที่กลุ่มจอมพลป. คือพล.ต.อ.เผ่าได้รับทราบจากปากคำนายชิตก่อนตาย แม้โบราณว่าคำพูดของคนก่อนตายมักเชื่อถือได้ ก็ต้องระวังให้มากด้วย เพราะในคำสารภาพนี้มีอยู่ว่า มีการรับปากว่าจะช่วยครอบครัวนายชิต แต่สุดท้ายลงเอยด้วยการประหารชีวิต ก็อาจทำให้นายชิตพูดออกมาด้วยอคติเพื่อปรักปรำคนที่รับว่าจะช่วยครอบครัว แล้วอาจไม่ช่วย หรือช่วยไม่เป็นไปตามสมควรก็ได้

5.หรือหากนายชิตพูดจริง ก็ต้องระมัดระวังให้มาก เพราะยังขาดหลักฐานพยานแวดล้อมอื่นๆ

6.หรือแม้ว่าจะมีหลักฐานพยานแวดล้อมอื่นๆอีกมาก ก็ยังต้องระมัดระวังที่จะสรุปไปทางใดทางหนึ่งในเวลานี้

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=326&contentID=124652

26 กุมภาพันธ์ 2492

วันศุกร์ ที่ 04 มีนาคม 2554 เวลา 0:00 น
วันที่ผมเขียนเรื่องนี้คือวันที่ 26 กุมภาพันธ์ อีกเพียง 2 วันก็จะสิ้นเดือนแล้ว เพราะปีนี้เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วันเท่านั้น
   
ในเดือนกุมภาพันธ์นี้มีวันการเมืองที่จะยกมาเล่าขานทบทวนความจำกันก็คือวัน ที่ 26 นี้ เพราะในอดีตได้มีเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองซ้อนกันอยู่เป็น 2 กรณี คือมีทั้งกรณีพยายามยึดอำนาจล้มรัฐบาลและกรณีการเลือกตั้งสกปรก ที่เกิดขึ้นในวันที่ 26 เช่นเดียวกันแต่คนละปี
   
แต่ครั้งนี้จะขอคุยถึงความพยายามในการยึดอำนาจล้มรัฐบาล ดังนั้นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่จ่าหัวเรื่องเอาไว้จึงเป็นวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492
   
วันนี้ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ บันทึกเอาไว้โดยเรียกว่า “เกิดการปฏิวัติ” มีเนื้อหาเล่าเอาไว้ตอนหนึ่งว่า
   
“วันที่ 26 กุมภาพันธ์ เวลาประมาณ 20.00 น.เศษ ได้มีการประกาศข่าวพิเศษทางวิทยุกระจายเสียงว่า ได้มีพระบรมราชโองการให้รัฐบาลจอมพล แปลก พิบูลสงคราม พ้นจากตำแหน่งและแต่งตั้งให้นายดิเรก ชัยนาม เป็นนายกรัฐมนตรี มีรัฐมนตรีร่วมคณะอีกหลายคน และยังแต่งตั้งผู้มีหน้าที่สำคัญ ๆ อีกหลายตำแหน่ง
   
บุคคลคณะนี้ได้ยึดพระบรมมหาราชวัง เป็นที่บัญชาการโดยมีผู้แต่งกายเป็นทหารเรือร่วมด้วย มีผู้กล่าวว่า หัวหน้าผู้ก่อการครั้งนี้ได้แก่ นายปรีดี พนมยงค์”
   
การปฏิบัติการครั้งนี้ ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ เรียกว่า “การปฏิวัติ” นั้นมีผู้เล่าว่า นายปรีดี พนมยงค์ ได้เรียกว่า “ขบวนการประชาธิปไตย 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492” หรือที่ต่อมาเมื่อปฏิบัติการไม่สำเร็จก็มีคนเรียกว่า “กบฏวังหลวง” ทั้งนี้เป็นเพราะคณะบุคคลผู้ก่อการในครั้งนั้นได้ยึดกระทรวงการคลัง ซึ่งสมัยนั้นยังตั้งอยู่ในพื้นที่พระบรมมหาราชวัง เป็นที่บัญชาการในการยึดอำนาจ ในคืนวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2492
   
ในระยะแรกนั้นฝ่ายที่ยึดอำนาจได้จู่โจมอย่างรวดเร็ว จึงยึดที่ทำการรัฐบาลได้ไม่ยากในบางแห่งเช่นกระทรวงการคลัง และสถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งอยู่ที่พญาไท สมัยนั้นยังไม่มีสถานีโทรทัศน์ เมื่อยึดสถานีวิทยุได้จึงออกประกาศปลดนายกรัฐมนตรีและผู้นำทางทหารของรัฐบาล ไปบางคน และก็แต่งตั้งนายกรัฐมนตรีใหม่ กับผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางทหารคนใหม่ กับผู้นำตำรวจ ทำให้ดูว่าฝ่ายยึดอำนาจจะเป็นต่อ
   
ครั้นฝ่ายรัฐบาลรวมตัวกันได้จึงได้ใช้กำลังทหารที่ยังคุมกันได้เข้าขัดขวาง กำลังของฝ่ายรัฐบาลเป็นกำลังทหารบก ส่วนกำลังทางทหารของฝ่ายยึดอำนาจนั้นเป็นกำลังทหารเรือ ที่มีการเรียกขานตามประกาศของฝ่ายรัฐบาลว่า “มีผู้แต่งกายเป็นทหารเรือร่วมด้วย” นั้น แท้จริงเป็นทหารเรือเข้าร่วม รัฐบาลต้องการทำให้เห็นว่าทหารเรือไม่เกี่ยว
   
แต่ทหารเรือที่เดินทางมาจากจังหวัดชลบุรีมาล่าช้า เล่ากันว่าที่ผิดแผนก็เพราะมาติดรออยู่ที่ท่าข้ามบางปะกง รอน้ำขึ้นแพขนานยนต์จึงจะแล่นข้ามมาได้ ทำให้มาไม่ทันเวลา
   
ทางรัฐบาลได้มอบหมายให้ พล.ต.สฤษดิ์ ธนะรัชต์
ซึ่งไม่ได้อยู่ในรายชื่อทหารที่ถูกประกาศปลดทางอากาศ
เป็นผู้รับผิดชอบในการ ปราบปรามฝ่ายยึดอำนาจ
โดยใช้กำลังได้เต็มที่
ประเสริฐ ปัทมะสุคนธ์ ก็ได้บันทึกไว้ต่อมาอีกว่า
   
รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีคำสั่ง
ให้ดำเนินการปราบปราม โดยเข้ายึด
พระบรมมหาราชวัง และเข้าต่อต้านผู้ปฏิวัติ 
ส่วนหนึ่งที่เขายึดเขตสี่แยกราชประสงค์ 
มีการยิงต่อสู้กันด้วย
ในที่สุดฝ่ายปฏิวัติได้หลบหนีไป คงจับผู้ที่สงสัยว่าเป็นผู้ร่วมมือ
ครั้งนี้ได้หลายคนซึ่งมีอดีตรัฐมนตรีร่วม อยู่ด้วย เช่น
นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายถวิล อุดล และนายจำลอง ดาวเรือง
ต่อมาก็ได้จับกุมนายทองเปลว ชลภูมิ ได้อีกผู้หนึ่ง
เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวไว้เพื่อทำการสอบสวน”
   
ทหารที่ยิงกันในเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นทหารบกกับทหารเรือ ซึ่งตอนนั้นทหารเรือยังเข้มแข็งและมีกำลังที่จะคานอำนาจทหารบกได้พอสมควร
   
เมื่อทางฝ่ายผู้ยึดอำนาจเห็นว่าจะทำการไม่สำเร็จจึงได้ถอนตัวออกจากกระทรวง การคลังในพระบรมมหาราชวัง ทางรัฐบาลจึงเป็นฝ่ายมีชัยครองอำนาจต่อมา
   
สุมาลี พันธุ์ยุรา ได้สรุปผลของเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า
   
“สิ่งที่ตามมาจากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ คือการสลายตัวอย่างสิ้นเชิงของคณะราษฎรสายพลเรือนและการสลายตัวของเสรีไทย ซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายพลเรือนที่เข้มแข็งที่สุดภายหลัง พ.ศ. 2475 ทำให้พลังฝ่ายพลเรือนที่จะถ่วงอำนาจฝ่ายทหารนั้นหมดไป และหลังจากนั้นคณะราษฎรสายพลเรือนก็กระจัดกระจายไปและยังถือเป็นจุดสุดท้าย ของเสรีไทยด้วย”
   
จะเป็นอย่างที่สรุปหรือไม่และด้วยเหตุนี้หรือไม่ยังเป็นเรื่องน่าศึกษากลับ ไปดู แต่ที่เห็นอย่างแน่นอนนั้นก็คือการล้มล้างฝ่ายที่แพ้อย่างร้ายกาจ ดังที่สุมาลี พันธุ์ยุรา เขียนเอาไว้ว่า
   
“การปราบปรามที่ร้ายแรงที่สุดของรัฐบาลคือการสังหาร พ.ต.โผน อินทรทัต ซึ่งถูกตำรวจยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์ ต่อมา พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข ซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก็ถูกตำรวจสังหารที่บ้าน และต่อมาในวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2492 อดีตรัฐมนตรี 4 คน คือ ถวิล อุดล จำลอง ดาวเรือง ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ และทองเปลว ชลภูมิ ถูกตำรวจสังหารที่บางเขน โดยตำรวจออกข่าวว่ามีโจรมลายูชิงตัวผู้ต้องหาระหว่างทาง ส่วน ทวี ตะเวทิกุล ถูกตำรวจยิงเสียชีวิตหน้าวัด ธรรมนิมิตร จังหวัดสมุทรสาคร”
   
นี่ก็คือเรื่องราวของความพยายามที่จะใช้กำลังเข้ายึดอำนาจล้มรัฐบาลของผู้ยึดอำนาจเดิม หากแต่กระทำไม่สำเร็จนั่นเอง.

นรนิติ เศรษฐบุตร


http://www.vcharkarn.com/vblog/82037/1/7

สะกดรอย จิม ทอมป์สัน "ราชาไหมไทย" หรือสายลับ?

ที่มา : คอลัมน์เรื่องจากปก นิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ ๒๕๕ วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๔

ใน บรรดาเรื่องราวของบุคคล ที่น่าติดตามศึกษาประวัติชีวิต แบบได้รสชาติครบทุกรส ไม่ต่างจากนวนิยาย หรือตำนาน ในเมืองไทยถือได้ว่ามีอยู่น้อยคน หนึ่งในนั้นกลับเป็นชาวอเมริกัน ที่เข้ามาลงหลักปักฐานในบ้านเราหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ นั่นคือ จิม ทอมป์สัน หลายคนอาจจะคุ้นเคยและรู้จักในนามของร้านผ้าไหมไทย ย่านถนนสุรวงศ์ แต่ประวัติชีวิตกลับไม่ใช่แค่นั้น ตลอดชีวิตของคนๆ นี้ เต็มไปด้วยสีสัน การผจญภัย และเรื่องลึกลับต่างๆ ที่ไม่มีทางที่ใครจะล่วงรู้ได้ เริ่มจากการเป็นหน่วยสืบราชการลับ หรือเรียกกันง่ายๆ ว่า สายลับ แล้วชีวิตก็ผกผันมาเป็นพ่อค้าผ้าไหม จนในที่สุดได้รับฉายาว่า "ราชาไหมไทย" และปิดท้ายนิยายชีวิตของตัวเองด้วยการหายตัวไปเฉยๆ ชนิดที่เรียกว่า คนอ่านตั้งตัวไม่ติด แบบลึกลับ และไร้ร่องรอย นี่คือ ตำนานอมตะที่เกิดขึ้นเคียงคู่กับการ "เกิดใหม่" ของผ้าไหมไทย

ตาของจิม ทอมป์สัน ป็นพระสหายของรัชกาลที่ ๖ จะเรียกว่าฟ้าลิขิตมาแล้วให้ชายคนนี้ต้องเป็น "ราชาไหมไทย" ก็ได้ เพราะตั้งแต่รุ่นตาของจิม ทอมป์สัน คือ นายพลเจมส์ แฮริสัน วิลสัน ถูกแต่งตั้งจากประธานาธิบดีธีโอดอร์ รูสเวลท์ ให้ไปเป็นตัวแทนของกองทัพสหรัฐ ในพิธีราชาภิเษกกษัตริย์เอ็ดเวิร์ดที่ ๗ ของอังกฤษ ในงานนี้เองที่รัชกาลที่ ๖ ซึ่งขณะนั้นยังดำรงพระยศเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิราวุธ ได้ทรงพบกับนายพลเจมส์ และกลายเป็นเพื่อนกันในเวลาต่อมา จนเมื่อทรงสำเร็จการศึกษาจากประเทศอังกฤษแล้ว ก่อนที่จะเสด็จกลับประเทศสยาม ได้เสด็จผ่านประเทศอเมริกา และทรงถือโอกาสเยือนประเทศอเมริกาอย่างเป็นทางการด้วย ในโอกาสนี้แหละที่ทรงเสด็จประทับที่บ้านของครอบครัววิลสันหนึ่งคืน คือคืนวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๔๕ และครั้งนี้ก็ยังได้เสด็จเยี่ยมโรงทอผ้าของพ่อจิม ทอมป์สัน มีหลักฐานเรื่องนี้อยู่ในจดหมายเหตุของ หม่อมอนุวัตรวรพงศ์ (ม.ร.ว.จิตร สุทัศน์) ซึ่งทำหน้าที่เลขานุการ และเป็นผู้ตามเสด็จในครั้งนี้ "...รถไฟพิเศษออกจากกรุงวอชิงตันเวลาเช้า ๔ โมง เยอเนอราล วิลสัน ได้แต่ง เมเยอบิดเดอล (Major John Biddle) นายทหารคนสนิท มารับเสด็จไปจากกรุงวอชิงตันด้วยรถไฟ ถึงเมืองวิลมิงตันเวลาเที่ยง ๑๕ นาที เยอเนอราล วิลสัน มารับเสด็จที่สเตชั่น เชิญเสด็จขึ้นรถไปที่บ้าน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ ตุลาคม เวลาเช้า เยอเนอราล วิลสัน เชิญเสด็จไปทอดพระเนตรโรงทอผ้า ซึ่งมิสเตอร์ทอมป์สัน (Thompson) บุตรเขยเป็นเจ้าของ แล้วเสด็จไปเสวยกลางวันที่บ้านมิสเตอร์ทอมป์สันบนเนินเขา เขาจัดการรับเสด็จโดยแข็งแรง เสวยแล้วเสด็จกลับไปประทับรถไฟพิเศษ เสด็จไปตำบลเชสนัตฮิล ใกล้เมืองฟิลาเดลเฟีย..." แม้ตอนนั้น จิม ทอมป์สัน จะยังไม่เกิด แต่เรื่องเล่าขานประจำตระกูล เกี่ยวกับประเทศสยาม รูปถ่ายครอบครัวกับกษัตริย์สยาม ก็น่าจะทำให้จิม ทอมป์สัน รู้จักและซึมซาบเกี่ยวกับเมืองไทยมาแต่อ้อนแต่ออก และจากหลักฐานนี้ทำให้เห็นได้ทันทีเลยว่า องค์ประกอบที่สำคัญทั้งสามส่วน คือ ประเทศสยาม ผ้าไหม และสังคมชั้นสูง ที่เป็นประตูไปสู่การเป็น "ราชาไหมไทย" ของจิม ทอมป์สัน ต้อง ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ อย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่ฟ้าได้ลิขิตไว้แล้ว

ฉากแรกในชีวิต ดชืด และล้มเหลว จิม ทอมป์สัน มีชื่อเต็มๆ ว่า เจมส์ แฮริสัน วิลสัน ทอมป์สัน เป็นชื่อของตารวมกับนามสกุลของพ่อ เกิดเมื่อวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๔๔๙ พ่อเป็นเจ้าของโรงงานสิ่งทอชื่อ เฮนรี บี ทอมป์สัน แม่เป็นรีพับลิกันหัวเก่าตกขอบชื่อ แมรี วิลสัน ทอมป์สัน มีพี่น้อง ๕ คน คือ แมรี แคธเธอรีน เฮนรี อีลินอร์ และจิม ทอมป์สัน เป็นลูกคนสุดท้อง ฐานะของครอบครัวจัดได้ว่ามีอันจะกิน และเป็นครอบครัวที่มีบทบาทในระดับท้องถิ่น วัยเด็กของจิม ทอมป์สัน ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ทุกอย่างเป็นไปตามประเพณีของครอบครัว เข้าเรียนโรงเรียนในวิลมิงตัน และเซนต์ปอล เข้ามหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ซึ่งก็เป็นมหาวิทยาลัยประจำครอบครัว เรียนจบปี ๒๔๗๑ แล้วเรียนต่อสถาปัตยกรรมที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย แต่ไม่จบ เพราะสอบแคลคูลัสตกถึงสองครั้งเหตุที่สนใจวิชาสถาปัตยกรรม ก็เพราะอิทธิพลจากพ่อที่เป็นประธานคณะกรรมการ Ground and Building Committee ของมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน ถึงตอนนี้ดูเหมือนจิม ทอมป์สัน จะลืมธุรกิจของครอบครัวไปแล้ว เพราะมาให้ความสนใจกับงานด้านสถาปัตยกรรมเต็มตัว แต่สวรรค์ไม่เห็นด้วย ทำให้สอบไม่ผ่านคณะกรรมการสถาปัตยกรรมแห่งนิวยอร์ก เท่ากับไม่สามารถทำอาชีพนี้ได้ แม้จะมีผลงานทางด้านการออกแบบให้กับท้องถิ่น และเพื่อนๆ อยู่บ้างก็ตาม แน่นอนว่าความสามารถทางด้านนี้ไม่ได้สูญเปล่า แต่นี่คือพื้นฐานในเรื่องการใช้สี ที่ปรากฏให้เห็นบนผ้าไหมในเวลาต่อมา ความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงเรื่องสีของผ้าไหม จะต้องมาจากความเชื่อมั่น และความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งประเทศนี้ขาดแคลนอย่างหนักจนถึงปัจจุบัน เพราะเมื่อก่อนไม่มีใครกล้าทำหรือใส่ผ้าไหมสีช็อกกิ้งพิ้งค์เหมือนไฮโซ เดี๋ยวนี้ จิม ทอมป์สัน ฝรั่งคนนี้แหละเป็นคนปฏิวัติ

เป็นสถาปนิกไม่ ได้ขอเป็นสายลับก็แล้วกัน เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่สองขึ้นในยุโรป อเมริกายังไม่ได้โดดเข้าร่วมตั้งแต่แรก แต่ก็ได้เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้อย่างไม่ประมาท จิม ทอมป์สัน วัยสามสิบต้นๆ ตัดสินใจเข้าร่วมเป็นกองกำลังป้องกันภัยแห่งเดลาแวร์ บ้านเกิดของตัวเอง แล้วเข้ารับการฝึกเพื่อเป็นทหารเต็มตัว จนได้เป็นนายทหารชั้นประทวน รับหน้าที่ประจำหน่วยทหารปืนใหญ่ประจำชายฝั่งนอร์ธ คาโรไลนา คำถามที่ติดตามตำนานชีวิตของจิม ทอมป์สัน มาตลอดก็คือ จิม ทอมป์สัน เป็นสายลับหรือเปล่า คำตอบนี้เริ่มขึ้นเมื่อจิม ทอมป์สัน เจอกับ ร้อยเอกเอ็ดวิล แบล็ค สมาชิกหน่วย OSS หรือหน่วยสืบราชการลับ ย่อมาจาก Office of Strategic Services หน่วยนี้ก่อตั้งขึ้นมาเพื่อรวบรวมข่าวกรอง และลักลอบทำงานในเขตของศัตรู ทำหน้าที่เหมือนสายลับในหนังฮอลลีวู้ด ทั้งหาข่าว ปลอมตัว ขโมย โกหก และอาจจะรวมไปถึงการสังหารศัตรู ทั้งคู่เจอกันที่ฟอร์ธ มอนโร ในเวอร์จิเนีย ผู้กองแบล็ค (ต่อมาคือนายพลแบล็ค ซึ่งมีบทบาททางการทหารอย่างมากในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ได้ชักชวนให้จิม ทอมป์สัน เข้าสู่วงการสายลับ หน่วย OSS ภายหลังได้ปรับโครงสร้างองค์กรจนยิ่งใหญ่หลังจากสงครามโลกจบลง เพื่อรับมือกับสงครามรูปแบบใหม่ คือสงครามเย็น และเป็นที่รู้จักกันในนาม CIA งานของซีไอเอ เป็นที่รู้ๆ กันอยู่ว่าลึกลับ ซับซ้อน และสกปรก คู่หูในการปฏิบัติงานของจิม ทอมป์สัน คือ อเล็กซานเดอร์ แม็คโดนัลด์ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน คนนี้แหละเป็นผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ บางกอก โพสต์ ในเมืองไทยนี่เอง งานสืบราชการลับของจิม ทอมป์สัน รับผิดชอบในพื้นที่แอฟริกา และยุโรป จนกระทั่งหลังสุด ก็อาสาเข้าประจำภาคพื้นแปซิฟิก รับผิดชอบจีน พม่า อินเดีย ระหว่างนี้มี OSS บางส่วนเข้ามาทำงานลับๆ ในประเทศไทยแล้ว โดยร่วมมือกับขบวนการเสรีไทย งานนี้เองที่ทำให้จิม ทอมป์สัน รู้จักกับปรีดี พนมยงค์ ซึ่งในที่สุด ปรีดีก็ได้กลายเป็นแพะตัวใหญ่ในคดีนี้ เพราะช่วงนั้นปรีดีได้รับการรับรองจากรัฐบาลจีน พี่เบิ้มแห่งค่ายคอมมิวนิสต์ย่านนี้ ศัตรูตัวจริงของอเมริกา จิม ทอมป์สัน นายทหารยศพันตรี ต้องเข้ารับการฝึกอย่างหนักอีกครั้ง ทั้งงานข่าว การเอาตัวรอด การดำรงชีพในป่า เพื่อเตรียมตัวเข้ามาทำงานในประเทศไทย 
ทุกอย่างเป็นไปตามแผน แต่ขณะที่เตรียมตัวจะโดดร่มลงทางภาคอีสาน ก็ปรากฏว่านักบิน C-47 ได้รับวิทยุจากฐานว่า สงครามเลิกแล้ว ทำให้ภารกิจนี้ถูกยกเลิกกลางอากาศ ต้องบินกลับไปพม่า แต่ภารกิจของ OSS ในประเทศไทยยังไม่จบ จิม ทอมป์สัน กับเพื่อนๆ OSS เดินทางเข้าสู่ประเทศไทยเพื่อทำงานใต้ดินต่อ โดยมีฐานอยู่ที่วังสวนกุหลาบ ไม่มีใครรู้ว่าขณะนั้น จิม ทอมป์สัน ทำอะไร หรือเดินทางไปไหนบ้าง จนมาปรากฏชัดเมื่อ จิม ทอมป์สัน ร่วมหุ้นกับคนรู้จัก ทั้งไทยทั้งฝรั่ง ฟื้นฟูกิจการของโรงแรมโอเรียนเต็ลใหม่ หลังจากเสียหายจากสงคราม พร้อมๆ กับการทำงานให้กับรัฐบาลอเมริกันไปด้วย แม้งานนี้จะไม่ประสบความสำเร็จอีกครั้ง แต่เชื่อได้ว่าระหว่างนี้ จิม ทอมป์สัน ได้ทัวร์ประเทศแถบนี้จนชำนาญ โดยเฉพาะทางภาคอีสานของไทย ลาว และเขมร เป็นจุดเริ่มแรกที่ จิม ทอมป์สัน ได้พบและรู้จักกับเสน่ห์ของผ้าไหมท้องถิ่น
ฐานะของไหมไทยก่อนยุค จิม ทอมป์สัน เดิมทีผ้าไหมเป็นผ้าทอพื้นบ้าน ที่มักจะทำขึ้นใช้เองในครัวเรือน ชาวสยามก็ไม่นิยมนุ่งซิ่น ด้วยเห็นว่า "เป็นลาว" เพราะขณะนั้นต่างก็นุ่งโจงกระเบนกันทั้งบ้านทั้งเมือง เจ้าดารารัศมีเองก็ถูกนินทาอยู่เนืองๆ เพราะนุ่งซิ่นกันทั้งตำหนัก แต่ต้นคิดที่จะส่งเสริมผ้าไหม กลับเป็นพระราชดำริของรัชกาลที่ ๕ โดยทรงจ้าง ศาสตราจารย์โทยามา ชาวญี่ปุ่น มาเป็นหัวหน้าทำการสำรวจ ทดลอง วิธีการใหม่ๆ ในการเลี้ยงไหม และทอผ้าไหม นอกจากนี้ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระพันปีหลวง ฝึกหัดใช้เครื่องสาวไหมญี่ปุ่น ชนิดหมุนด้วยมือและใช้เท้าเหยียบ ซึ่งเปิดทำการสอนให้กับ "ชาววัง" พร้อมกันไปด้วย จนถึงปี ๒๔๔๖ ได้ยกแผนกไหมขึ้นเป็นกรม เรียกว่า "กรมช่างไหม" ทำการส่งเสริม และฝึกหัดให้ราษฎรในพื้นที่ต่างๆ โดนเฉพาะกรุงเทพฯ และอีสาน ทดลองเลี้ยงไหม สาวไหม และการทอผ้า แต่แล้วโครงการนี้ก็ล้มเหลว เพราะราษฎรยังคงเคยชินกับวิธีการเดิมๆ ไม่ได้ให้ความสนใจต่อโครงการนี้เท่าไหร่นัก "กรมช่างไหม" ต้องปิดลงในปี ๒๔๕๕ ด้วยระยะเวลาเพียง ๙ ปี แม้ในระยะเวลาต่อมาจะมีการพยายามส่งเสริมในลักษณะนี้อีกหลายครั้ง รวมไปถึง "การนุ่งซิ่น" แต่ก็ล้มเหลวอีกเหมือนกัน เพราะประชาชนไม่เอาด้วย หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ จิม ทอมป์สัน ได้มีโอกาสเดินทางไปในพื้นที่ต่างๆ ทั่วภูมิภาค และเริ่มสะสมผ้าทอพื้นบ้าน จากช่างทอฝีมือดีไว้จำนวนหนึ่งด้วยความสนใจในศิลปะแขนงนี้ จนกระทั่งได้พบกับ เจมส์ สก็อตต์ ทูตพาณิชย์ของสหรัฐ ซึ่งแนะนำให้จิม ทอมป์สัน ทำธุรกิจด้านนี้อย่างจริงจัง จุดนี้เองที่จิม ทอมป์สัน เริ่มต้นศึกษาไหมไทยอย่างลึกซึ้ง ทั้งในพิพิธภัณฑ์ และตามแหล่งผลิตในหมู่บ้าน รวมไปถึงการสืบหาช่างทอฝีมือดีไปทั่ว จนในที่สุดก็พบช่างทอฝีมือดี คือชาวบ้านครัว ในกรุงเทพฯ นี่เอง ชาวบ้านครัว เป็นชาวมุสลิม เชื้อสายเขมร ซึ่งมาปักหลักในกรุงเทพฯ ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีบทบาทในการรบ และสร้างพระนคร เนื่องจากชาวบ้านครัว หรือ "อาสาจาม" มีฝีมือในการรบทางเรือเป็นพิเศษ การโยกย้ายครั้งนี้ชาวบ้านครัวได้นำเอาความสามารถในการทอผ้าไหมติดตัวมาด้วย และเมื่อลงหลักปักฐานแล้ว ก็ยังคงสืบศิลปะการทอผ้ามาอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ จิม ทอมป์สัน ทำให้ชาวบ้านครัวมีฐานะที่ดีขึ้นอย่างทันทีทันใด ทุกวันนี้ จิม ทอมป์สัน ยังคงเป็น "นักบุญ" ในสายตาของชาวบ้านครัวอยู่อย่างไม่มีอะไรจะมาเปลี่ยนแปลงได้ จิม ทอมป์สัน เดินเข้าไปในบ้านครัว แล้วเหมาผ้าทุกผืนของ "ยายหนับ" พร้อมกับจ่ายเช็คมูลค่า ๓๐ ๐๐๐ บาท ในสมัยที่ทองบาทละ ๔๐๐ บาท ยายหนับถึงกับงง เพราะไม่เคยขายผ้าได้มากมายขนาดนี้มาก่อน ไม่ยอมรับเช็คเพราะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอรับเป็นเงินสดอย่างเดียว นี่คือเรื่องราวของฝรั่งคนหนึ่ง กับชาวบ้านเล็กๆ คนหนึ่ง ที่เป็นจุดหักเหของไหมไทย!

จุดเปลี่ยนของไหมไทยกับผู้ที่ปั้นดินให้เป็น ดาว ขณะนั้นการใส่ผ้าไหมเป็นเรื่องตกยุคไปแล้ว เพราะมีผ้าฝ้ายลายสวยๆ ใหม่ๆ ออกมาเป็นจำนวนมาก ทางด้านการผลิต ก็แทบจะไม่มีคนทำ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่นิยมยึดการทอผ้าเป็นอาชีพอีกต่อไป แต่แนวคิดใหม่ของจิม ทอมป์สัน เป็นการปฏิวัติการผลิตใหม่หมด ตั้งแต่การเพิ่มความยาวของผืนผ้า เพราะเมื่อก่อนชาวบ้านจะทอผ้าแค่ประมาณ ๓ หลา ซึ่งเพียงพอต่อการทำซิ่น หรือโสร่ง มาจนถึงการเปลี่ยนแปลงสีสันให้ "เข้าตาฝรั่ง" สุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือ การตลาด ด้วยการแนะนำให้ชาวโลกได้มองเห็นถึงความงามของผ้าไหมไทย ด้วย "ความเข้าอกเข้าใจ" ในผ้าไหม และชาวบ้านครัว จิม ทอมป์สัน ที่เป็นทั้งศิลปิน และนักธุรกิจ จึงคิดสี และลวดลายใหม่เองทั้งหมด ใช้สีย้อมเป็นสีเคมี แทนสีธรรมชาติ เพื่อให้สีสดสวยอยู่ตลอด เปลี่ยนจากการทอด้วยกี่พุ่ง เป็นกี่กระตุก เพื่อเพิ่มผลผลิต โดยอาศัยฝีมือที่ประณีตของชาวบ้านครัวเป็นคนผู้สร้างผลงาน จากคำบอกเล่าของชาวบ้านครัว ทุกเช้า จิม ทอมป์สัน หรือ "นายห้าง" ของชาวบ้านครัว จะนั่งเรือแจวข้ามฟาก ไปยังฝั่งบ้านครัว เพื่อดูแลทุกข์สุข และดูแลคุณภาพอย่างใกล้ชิด บางคนบอกว่าดูละเอียด "ยังกะดูเพชร" ทุกครั้งที่จับผ้าจะทำด้วยความทะนุถนอม นี่คือหัวใจของความสำเร็จของผู้ที่เข้าใจทั้งผู้ผลิต และผลผลิต ไม่ได้ฉาบฉวยเหมือนกับ "นักส่งเสริมศิลปหัตถกรรมพื้นบ้าน" ที่ดื้อดึง ส่งเสริมโดยไม่เคยทำความเข้าใจใน "หัวใจ" ผู้ผลิต และผลผลิต จิม ทอมป์สัน เริ่มอาชีพนี้จากการ "เร่ขาย" ด้วยการพาดผ้าไหมผืนยาวไว้กับหัวไหล่ และท่อนแขน ให้กับฝรั่งที่โรงแรมโอเรียนเต็ล แล้วในที่สุดก็ส่งผ้าไหมไปทดลองตลาดในอเมริกา อาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวนิดหน่อย ทำให้ บ.ก.นิตยสารโวค นำแฟชั่นไหมไทยขึ้นปกจนเป็นที่ฮือฮา ในเวลาต่อมา ไอรีน ชาริฟฟ์ นักออกแบบเสื้อผ้าของละครบอร์ดเวย์เรื่อง The King and I ก็ได้เลือกผ้าจากร้าน จิม ทอมป์สัน ไปตัดเสื้อให้กับตัวแสดงทั้งเรื่อง ตามมาด้วยหนังฟอร์มยักษ์เรื่อง BENHUR ทำให้ทั่วโลกรู้จักผ้าไหมไทยมากขึ้น และที่สำคัญที่สุดคือ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ทรงใช้ผ้าไหมจากร้านจิม ทอมป์สัน ตัดชุดสำหรับการเสด็จเยือนสหรัฐ อย่างเป็นทางการในปี ๒๕๐๓ ฉลองพระองค์ครั้งนี้ออกแบบโดย ปิแอร์ บาล์แมง ชาวฝรั่งเศส ครั้งนั้นเป็นที่ทำให้ผ้าไหมไทยได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ปลายปี ๒๔๙๑ จิม ทอมป์สัน ได้ก่อตั้งบริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ขึ้น โดยมีผู้ร่วมก่อตั้งจากหนังสือบริคณสนธิ ดังนี้ ๑. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระชัยนาทนเรนทร ๒. พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ๓. หม่อมเจ้าวัฒยากร เกษมศรี ๔. หม่อมเจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ รังสิต ๕. เจมส์ แฮริสัน วิลสัน ทอมป์สัน ๖. นายแพง ชนะนิกร ๗. นายโทคี้ แซ่เอี๊ยว ในรายชื่อผู้ก่อตั้งน่าจะบอกได้ว่า ทำไมผ้าไหมของจิม ทอมป์สัน จึงเป็นที่ยอมรับของบุคคลชั้นสูงในสังคมไทยอย่างรวดเร็ว และกลายเป็น "รสนิยม" ใหม่ที่เกิดขึ้นจนเป็นที่ยอมรับ ไม่มีใครพูดถึงผ้าไหมในความหมายของความ "เป็นลาว" อีกต่อไป

บ้านทรงไทย จิตวิญญาณของนายห้างฝรั่ง เมื่อธุรกิจค้าผ้าไหมไปได้สวย งานอดิเรกอีกอย่างของจิม ทอมป์สัน คือ การสะสมของเก่า และเป็นนักสะสมประเภท "ตาถึง" สะสมวัตถุโบราณชิ้นงามๆ ไว้มากมาย โดยมีแหล่งอยู่ที่เวิ้งนครเกษม อยุธยา และจากการดั้นด้นค้นหาถึงถิ่น กลุ่มเพื่อนที่แวดล้อม ก็เป็นนักสะสม และค้าของเก่าด้วยจำนวนหนึ่ง มีตั้งแต่ชาวจีน ฝรั่ง นายทหาร รวมไปถึงราชนิกูลของไทย แม้แต่เจ้าหน้าที่ CIA ก็มีรสนิยมอย่างนี้เหมือนกัน วัตถุโบราณจากไทย เขมร ลาว ไหลออกไปนอกประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงของสงครามเวียดนาม ภาวะที่เมืองไทยตกเป็นเมืองขึ้นอย่างไม่เป็นทางการของอเมริกา เมื่อมีวัตถุโบราณจำนวนมากขึ้น จิม ทอมป์สัน ก็เริ่มมองหาบ้านหลังใหม่ เพื่อเป็นที่เก็บรักษา และจัดแสดง บังเอิญเหลือเกินที่สถานที่สร้างบ้านหลังใหม่นั้น อยู่ตรงข้ามกับชุมชนชาวบ้านครัว แหล่งผลิตผ้าไหมของจิม ทอมป์สัน โดยมีคลองมหานาคคั่นกลาง บ้านทรงไทยหลังนี้สร้างเสร็จในปี ๒๕๐๒ โดยรวบรวมเอาเรือนไม้เก่าจากหลายแหล่ง ทั้งจากอยุธยาและบ้านครัว ภายในจัดแสดงวัตถุโบราณ ภาพเขียน กระเบื้องเคลือบจีน ไว้ทุกจุดของบ้าน ครั้งหนึ่งที่จิม ทอมป์สัน มีปัญหากับทางกรมศิลปากร เดี่ยวกับเศียรพระพุทธรูปที่ได้มาจากจังหวัดเพชรบูรณ์ ทำให้ต้องคืนกรมศิลป์ไป จากเหตุการณ์นี้ทำให้จิม ทอมป์สัน หงุดหงิดถึงขั้นตัดสัมพันธ์กับสยามสมาคมที่ตัวเองเป็นสมาชิกอยู่ และหันมาสะสมกระเบื้องเคลือบของจีนแทน เรือนไทยหลังนี้เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก และเคยใช้เป็นเรือนรับรองแขกสำคัญระดับกษัตริย์ นักการเมือง นักเขียน จากทุกมุมโลก และที่ขาดไม่ได้คือ ครั้งหนึ่งจิม ทอมป์สัน ได้เขียนจดหมายถึงพี่สาว (ปัจจุบันยังไม่ได้ตีพิมพ์) บอกเล่าถึงการมาเยือนของผู้อำนวยการ CIA ซึ่งน่าแปลกว่า จิม ทอมป์สัน "ไม่มีเวลาว่าง" ที่จะต้อนรับแขกสำคัญคนนี้ได้ ภาพที่ติดตาของชาวบ้านครัว และคนในละแวกนั้นคือ ทุกเช้า "นายห้าง" จะนั่งเรือพายข้ามฟากจากเรือนไทย ไปยังบ้านครัว เพื่อเยี่ยมเยือน และดูแลการผลิตผ้าใหม่เป็นประจำ ความสัมพันธ์พิเศษนี้ทำให้ชาวบ้านครัวทุ่มเททำงานให้อย่างเต็มฝีมือ จนมีฐานะดีขึ้นอย่างทั่วหน้า บางรายมีรายได้เป็นแสนต่อเดือน จิม ทอมป์สัน ยังส่งเสริมให้ชาวบ้านครัวซื้อหุ้นของบริษัท เดี๋ยวนี้ชาวบ้านครัวบางรายยังคงมีหุ้นอยู่ในบริษัทแห่งนี้ ชุมชนบ้านครัวรุ่งเรืองสุดขีด เมื่อจิม ทอมป์สัน ยังอยู่ แต่เหตุการณ์ก็ได้เปลี่ยนไปเมื่อ "นายห้าง" หายตัวไป บริษัทหันมาผลิตเอง และเปลี่ยนปรัชญาการผลิตในแบบอุตสาหกรรมครอบครัว ตามความตั้งใจเดิมของจิม ทอมป์สัน เป็นแบบอุตสาหกรรมใหญ่ โดยย้ายฐานการผลิตไปอยู่ที่โคราช และหยุดรับซื้อผ้าไหมจากบ้านครัวในที่สุด จิม ทอมป์สัน ทำพินัยกรรมฉบับแรกตอน ๒๕๐๔ โดยยกบ้านและทรัพย์สินให้กับสยามสมาคม แต่หลังจากเกิดข้อพิพาทกับกรมศิลปากร จิม ทอมป์สัน ได้แก้ไขพินัยกรรมใหม่ โดยยกเลิกพินัยกรรมฉบับแรก แล้วยกทรัพย์สินให้กับหลานชายคือ เฮนรี ทอมป์สัน ที่ ๓ โดยมีพยานรับรอง แต่ก็เกิดปัญหาขึ้นมาจนได้ เมื่อไม่มีใครหาพินัยกรรมฉบับนี้เจอ ด้วยเหตุนี้ทั้งกรมศิลป์ และสยามสมาคม ต่างยื่นเรื่องขอดูแลทรัพย์สิน โดยถือเอาพินัยกรรมฉบับแรกเป็นหลัก แต่โชคยังดี พินัยกรรมฉบับที่สองในที่สุดก็โผล่ขึ้นมา เมื่อ ชาร์ล เชพฟิลด์ ผู้จัดการร้านผ้าไหมขณะนั้น กำลังจะซ่อมแซมเรือนไทย หลังจากที่จิม ทอมป์สัน หายตัวไปได้ ๒ ปี อยู่ๆ พินัยกรรมก็หล่นลงมาจากม้วนกระดาษพิมพ์เขียวของแบบบ้าน ทายาทของจิม ทอมป์สัน จึงได้รับพินัยกรรมอย่างถูกต้อง ตามเจตนารมณ์ ไม่ถูกใคร "ยึด" ไป

การ หายไป อย่างไร้ร่องรอย อันที่จริงเวลานั้น คือตั้งแต่หลังสงครามโลก จนถึงหลัง ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ในสังคมไทยเกิดคดีประเภทลอบฆ่า ลักพาตัว หายสาบสูญ "แบบอธิบาย" ไม่ได้อยู่มากมายหลายคดี เป็นช่วงที่การเมืองไทยกำลังมีปัญหาภายใน เป็นช่วงที่อเมริกามีบทบาทชี้เป็นชี้ตายในบ้านเมืองนี้

และเป็นช่วงที่รัฐบาลไทยกำลังทำสงครามกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย จนถึงวันนี้ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าคดีจิม ทอมป์สัน เกิดขึ้นเพราะอะไร หรือเป็นฝีมือของใคร เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ จิม ทอมป์สัน นัดกับ ดร.ที จี หลิง ชาวจีน และเฮเลน ภรรยาชาวอเมริกันของ ดร.หลิง สองสามีภรรยาในธุรกิจค้าของเก่า เพื่อไปพักผ่อนที่บังกะโลชื่อ มูลไลท์ คอทเทจ ในคาเมรอน ไฮแลนด์ ประเทศมาเลเซีย ที่นี่เป็นรีสอร์ตใจกลางป่าดงดิบ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะจิม ทอมป์สัน เคยมาที่นี่แล้วถึง ๒ ครั้ง ต่อไปนี้คือเหตุการณ์คร่าวๆ ที่เป็นเบาะแสของคดีนี้ ๒๑ มีนาคม ๒๕๑๐ จิม ทอมป์สัน ฉลองอายุครบ ๖๑ ปี ๒๓ มีนาคม จิม ทอมป์สัน ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปพร้อมกับ คอนนี มังสเกา เพื่อนเจ้าของร้านค้าของเก่าในกรุงเทพฯ ลูกครึ่งอังกฤษไทย ระหว่างอยู่ที่สนามบินดอนเมือง มีเรื่องขลุกขลักนิดหน่อย คือ จิม ทอมป์สัน ไม่ได้เตรียมเอกสารเกี่ยวกับการแจ้งภาษีไปแสดงกับเจ้าหน้าที่ตามระเบียบของ ชาวต่างชาติที่พำนักในประเทศ กับไม่ได้ฉีดวัคซีนป้องกันอหิวาตกโรคก่อนเดินทางออกนอกประเทศ แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ผ่านไปด้วยดี ทั้งคู่มาถึงปีนัง พักค้างคืนที่เมืองจอร์จ ทาวน์ มีเรื่องให้แปลกใจอีกครั้งตรงนี้ คือ จิม ทอมป์สัน ไม่สนใจที่จะนั่งรถเที่ยวชมเกาะ แต่กลับตรงดิ่งไปโรงแรมที่พัก เพียงแต่ต้องการจะตัดผม เรื่องนี้ทำให้มังสเกาหงุดหงิดนิดหน่อย เช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งคู่เตรียมตัวออกเดินทางไปตามนัด ระหว่างทางมีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้นอีก ๒ ครั้ง คือ ครั้งแรก ระหว่างที่นั่งรถแท็กซี่จะไปท่าเรือ อยู่ๆ คนขับก็หยุดรถ แล้ววิ่งหายไป กลับมาอีกครั้งพร้อมกับคนขับคนใหม่ โดยบอกว่าคนขับคนนี้จะมาทำหน้าที่แทน อีกครั้งเกิดขึ้นที่เมืองทาปาห์ เป็นจุดที่รถต้องเริ่มไต่เขา ไปที่รีสอร์ต ทั้งคู่ถูกขอให้ไปนั่งรถคันใหม่ รวมกับชาวจีนสองคนที่นั่งอยู่ก่อนแล้ว แต่ทั้งจิม และมังสเกา ไม่ยอม ในที่สุดก็ตกลงกันได้ ชาวจีนยอมลงจากรถ จากเหตุการณ์นี้หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทมส์ เคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่า อาจเป็นการพยายามลักพาตัวที่ไม่สำเร็จ ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงมูนไลท์ คอทเทจ ได้โดยสวัสดิภาพ ประมาณ ๕ โมงเย็นได้พบกับ ดร.หลิง และเฮเลน วันแรกที่มูนไลท์ คอทเทจ ทั้งสี่คนตกลงกันว่าจะไปสโมสรที่สนามกอล์ฟ โดยมังสเกา และเฮเลน เลือกที่จะขับรถไป ส่วน ดร.หลิง กับจิม เลือกที่จะเดินไปเอง เพราะ ดร.หลิงต้องการจะผจญภัยนิดหน่อย เนื่องจากค้นพบเส้นทางใหม่ไปสนามกอล์ฟ โดยเดินทางลัดผ่านป่าไป ปรากฏว่า ฝ่ายหญิงไปถึงสนามกอล์ฟตรงเวลา ๑๐ โมงเช้า แต่ฝ่ายชายหลงทาง และ ดร.หลิงสะดุดรากไม้เอ็นเคล็ด แต่ด้วยความสามารถของจิม ทอมป์สัน ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีสมัยเป็นทหาร ทำให้สามารถพาตัวเอง และเพื่อนกลับเข้าสู่เส้นทางได้ มาถึงสนามกอล์ฟประมาณบ่ายโมง วันแรกของการเดินทางจบลงด้วยดี วันที่สอง เป็นวันที่ทุกคนจะจดจำไปชั่วชีวิต คือวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๑๐ วันนี้เริ่มต้นด้วยการไปโบสถ์ เนื่องจากเป็นวันอีสเตอร์ แต่ต่างจากเมื่อวานตรงที่จิม ทอมป์สัน ขอเดินลงเขาไปคนเดียว แล้วนัดเจอกับคนอื่นๆ ที่ขับรถมา ณ จุดนัดพบใกล้ๆ สนามกอล์ฟ เสร็จพิธีจากโบสถ์ ทุกคนกลับมายังที่พัก เพื่อเตรียมตัวไปปิกนิกช่วงบ่าย บนที่ราบเนินเขาแห่งหนึ่ง ไม่ห่างจากที่พักเท่าไหร่ ปิกนิกบนเนินเขาไม่สนุกอย่างที่คิดไว้ หลายคนให้การหลังจากเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วว่า จิม ทอมป์สัน ดูเหมือนอยากจะกลับบ้านเร็วๆ ไม่กินเบียร์ และแทบจะไม่ได้กินอะไรตอนปิกนิก จัดแจงเก็บข้าวของลงตะกร้า ทั้งที่เพื่อนๆ ต้องการจะงีบสักพักหลังอาหาร ทำให้ปิกนิกเลิกเร็วกว่ากำหนด และกลับถึงที่พักประมาณบ่าย ๒ โมง เมื่อมาถึงที่พัก ครอบครัวหลิง และมังสเกา ตรงเข้าห้องนอน เพื่องีบช่วงบ่าย ครั้งสุดท้ายที่ทุกคนเห็นจิม ทอมป์สัน คืออยู่ในห้องนั่งเล่น หลังจากวันนั้นจนถึงวันนี้ไม่มีใครเคยพบจิม ทอมป์สัน ราชาไหมไทยผู้นี้อีกเลย!

The X-File คดีผิดปกติ ที่ไม่มีคำตอบใดๆ ความลึกลับพิศดารของเรื่องนี้ คือไม่มีสัญญาณบอกเหตุใดๆ ที่ทำให้ จิม ทอมป์สัน หายไปเฉยๆ แบบนี้ ไม่มีเหตุจูงใจใดๆ ที่มีน้ำหนักมากพอ ที่จะมีคนทำเรื่องนี้ เหตุผลที่น่าสงสัยอย่างเดียวคือ การหายไปของจิม ทอมป์สัน "สะอาดเกินไป" คือไม่มีร่องรอย หรือหลักฐานใดๆ ที่จะเป็นเงื่อนปมให้คลี่คลาย ในช่วงบ่าย ทุกคนต่างเตรียมตัวเก็บของเพื่อเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น มังสเกาและ ดร.หลิงนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ในห้องนั่งเล่น ก่อนหน้านี้ ดร.หลิงและเฮเลนยืนยันว่าได้ยินเสียงจิม ทอมป์สัน ออกไปเดินเล่นนอกบ้านในเวลาประมาณบ่าย ๓ โมง ที่เฉลียงนอกบ้าน ยังมีเสื้อสูท บุหรี่ ไฟแช็ก และกล่องยาประจำตัวของ จิม ทอมป์สัน อยู่ที่เก้าอี้นอกบ้าน จนกระทั่งเวลา ๕ โมงเย็น จิม ทอมป์สัน ยังไม่กลับมา ทุกคนก็เริ่มเป็นห่วง แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้ เพราะเป็นปกตินิสัยของจิม ทอมป์สัน ที่ชอบออกเดินเล่น นอกจากนี้ยังมีความชำนาญและคุ้นเคยกับป่าแถบนี้ค่อนข้างดี เมื่อเวลาผ่านมาถึงทุ่มครึ่ง จุดนี้เองที่ทำให้ทุกคนเริ่มรู้สึกว่า อาจจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว เพราะป่าด้านนอกทั้งมืด และหนาว ไม่เหมาะกับการเดินเล่นอีกต่อไป หลังจากนั้นก็เริ่มมีการค้นหากันอย่างต่อเนื่องอีกหลายวัน ทั้งจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น นายพราน บรรดาเพื่อนฝูง รวมถึงนายพลแบล็ค ที่นำทหารและเฮลิคอปเตอร์ ออกค้นหา รวมเบ็ดเสร็จในเบื้องต้นมีคนออกค้นหาไม่น้อยกว่า ๔๐๐ คน ปัญหาของเรื่องนี้ก็คือ ถ้าจิม ทอมป์สัน จะออกไปเดินเล่น ทำไมถึงได้ทิ้งเสื้อ บุหรี่ และกล่องยาไว้ ทั้งที่มีอากาศค่อนข้างเย็น จิม ทอมป์สัน เป็นคนสูบบุหรี่จัด และมีโรคประจำตัวถึงขนาดต้องพกยาติดตัวไว้ตลอด ถ้าเป็นอุบัติเหตุ หรือหลงป่า ทำไมถึงไม่มีร่องรอยใดๆ เช่น รอยเลือด เสื้อผ้า หรือร่องรอยในการเดินป่าให้นายพรานท้องถิ่น หรือสุนัขค้นหา หาร่องรอยเจอ เหตุผลที่เหลือคือ ถูกลักพาตัว หรือฆาตกรรม ปัญหาคือ ใครทำ และทำไมถึงทำได้อย่าง "สะอาด" ปราศจากร่องรอยขนาดนี้ ไม่มีเสียงร้อง ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เหตุผลจูงใจคืออะไร ประเด็นที่ถูกพุ่งเป้าไปมากที่สุดคือ การเป็น CIA ของจิม ทอมป์สัน ซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การเป็นแหล่งข่าวที่สำคัญจะเป็นภัย หรือเป็นประโยชน์กับใครหรือไม่ ไม่ว่า CIA จะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม แต่ที่แน่ๆ CIA ได้ฉกฉวยโอกาสนี้ ใช้ลูกไม้เก่าๆ ถล่มศัตรูทางการเมือง อย่าง นายปรีดี พนมยงค์ ชนิดเข้าตากรรมการ ลูกไม้หนึ่งในนั้นก็คือ การโยนบาปให้เป็นการกระทำของคอมมิวนิสต์ ที่ต้องการจับลักพาตัวไปด้วยเหตุผลทางการเมือง รวมทั้งการใช้ "คนทรง" อย่าง ปีเตอร์ เฮอร์โกส ที่มาเข้าทรงแล้วบอกว่า งานนี้เป็นผลงานของนายปรีดี หรือ "Pribi" ในภาษาของปีเตอร์ เฮอร์โกส คำตอบที่มักจะได้จากเพื่อน หรือคนรู้จัก เมื่อถามถึงสาเหตุของการหายตัวไปในครั้งนี้ มักจะเป็นที่ออกมาคล้ายกันคือ "ปล่อยให้มันเป็นปริศนาต่อไปเถอะ" จนถึงวันนี้บุคคลที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์นี้ต่างก็เสียชีวิตไปจนหมดแล้ว ไม่มีใครต้องการพูดถึงเรื่องนี้อีก จนวินาทีสุดท้ายของชีวิต ทุกๆ คนพร้อมใจกันนำความลึกลับในคดีนี้ติดตัวไปด้วย นี่คือตำนานที่จะเป็นปริศนาตลอดกาลของจิม ทอมป์สัน "ราชาไหมไทย"

http://forum.prisonplanet.com/index.php?topic=63344.25%3Bwap2

CIA has a history of getting involved in Thai and Asian politics.

In 1946 Ananda was found shot in his bedroom in the Grand Palace.

This ensured that teenage Bhumibol became king. And it ensured that pro-American Field Marshal Pibul became the power behind the throne.

Bhumibol had once said of his brother's murder,
"It was not an accident...it was political."

King Bhumibol has a difficult job,
surrounded as he is by certain
'corrupt fascist' generals who allegedly
have links to the CIA.

In 1973, when pro-democracy students were being shot at by the army outside the Chitralada palace, Bhumibol ordered the gates of the palace to be opened, to help save some lives.

In 1980 one third of the rural population lived in absolute poverty (this could mean one meal a day and no money to buy shoes or typhoid medicine). In 1980, a child working 11 hours a day, in a workshop in Bangkok, would earn £36 per year! Yes, per year! Great for the Americans getting their cheap shoes and clothes made by child labour.

When the generals were again getting violent in 1992, and hundreds of people were killed, it was Bhumibol who summoned General Suchinda to the palace and had the meeting televised live. The entire Thai nation could see General Suchinda crawling across the carpet to the feet of the monarch.

In the Oriental Hotel I got talking to a retired Thai gentleman called Yong. I asked him how things were going in Bangkok.

"There is a power struggle going on within the army," said Yong. "On one side we have the reformers who want to end the army's links to drugs and karaoke bars. They want to purge the army of mafia colonels. And on the other side we have the conservatives who want to continue to do deals with the Burmese junta and the drugs barons."

Yong read to me the calypso written by Allen Ginsberg in 1972:

In nineteen hundred forty nine
China was won by Mao Tse-Tung.
Chiang Kai Shek's army ran away.
They were waiting there in Thailand yesterday

Supported by the CIA
Pushing junk down Thailand way.

First they stole from the Meo Tribes
Up in the hills they started taking bribes
Then they sent their soldiers up to Shan
Collecting opium to send to The Man
Pushing junk in Bangkok yesterday
Supported by the CIA...."

http://asiapacific.anu.edu.au/newmandala/2008/05/29/the-devils-discus-in-thai/

http://en.wikipedia.org/wiki/Censorship_in_Thailand

The Devil's Discus by Rayne Kruger (London: Cassell, 1964), a result of investigative reporting, which examines the case of King Ananda, was immediately banned and its author barred from Thailand. Curiously, neither the book's Japanese translation nor Thai in 1972 have been banned. However, the first 16 pages of all extant copies of The Devil's Discus in Thai have been excised and seem to have no missing text correspondent to the English original.

Incidentally, the premise of The Devil's Discus merely suggests three possibilities for the death of the young king: regicide, suicide or accident, perhaps involving the king's younger brother, Bhumipol.  
Both boys were fond of playing with
weapons and this particular handgun
had been a gift to the king by a friend
who was an American OSS (forerunner of
the CIA) station agent in Bangkok,
attached to the U.S. Embassy.

http://www.ossreborn.com/index_files/17.html

The Missing Thai Silk King: A Niece’s Search for Jim Thompson

By Martha Galleher
The Espionage Press, 219 pages, $25
Ivy Book Store/ 6080 Falls Road/ Baltimore, Maryland 21209
Reviewed by Dan Pinck


Pardon the patois: this is a swell book, a combination of history and mystery focused on an investigation of the disappearance in 1967 of Mrs. Galleher’s step-uncle, James H. W. Thompson, in the Cameron Highlands in Malaysia. As famous as he was mysterious, Jim Thompson served in the OSS and in the CIA and he lived in Bangkok since 1945. He founded the well-known Thai Silk Company which still exists; and he did not severe his ties with the CIA. He disappeared on Easter Sunday; only rumors survive about what might have happened to him.

His disappearance was reported in American newspapers. The FBI investigated his disappearance; there’s no assurance that the CIA ever undertook an investigation and this fact is probably the most curious aspect of the case. The Cameron Highlands is a hill-station north of Kuala Lumpur, the capital of Malaysia. Small rewards were posted for information leading to answers about what had happened to him.
What happened to Jim Thompson? Was he eaten by a tiger? Was he kidnapped? Was he killed by Cambodians? Was he killed in a robbery by natives? Was he killed by Thai royalty? Was he on a secret mission for Thai royalty? Was he on a CIA mission? Was he killed by employees of his Thai Silk Company? Did he simply get lost in the jungle while out for a late-afternoon walk? Did the Viet Cong do him in? Was he killed by Pathet Lao? Was he killed by the Chinese in Vietnam? Was he a double agent? Was he on a secret mission to persuade Chinese Communists to stop supporting the Viet Cong?

Mrs. Galleher and her husband Earl made two visits to the Far East to try to unravel the mystery of her step-uncle’s disappearance. Their first trip was in 1968, the second in 1974. Their Touch-all-bases investigation was exemplary. Miss Marple, Agatha Christie, Sherlock Holmes and Charlie Chan could not have done a better job. During their search, they interviewed an international line-up of sources of information, from ambassadors, generals, intelligence operatives, high government officials in many countries, and U. S. congressman to inconspicuous natives in Asian nations. Result: zilch.

I suspect Mrs. Galleher might have been on a promising track when, two pages from the end of her book, she states: “Whatever his reasons, I believe Jim headed for China after he disappeared.” How did she reach this assumption and from whose office did it originate?

The answer is: I won’t tell you. Reviewers of mystery books properly do not tell readers cogent clues or answers to the mystery. The Main Man is surprising, I’ll tell you that. Could this be an unfounded rumor, too? Who knows?

Mrs. Galleher’s book is absorbing, with stretches of fine writing. The disappearance of James Harrison Wilson Thompson is compensated – if this is the right word – by the appearance of his niece’s book. An adroit scriptwriter and other highly competent professionals in Hollywood could produce a good movie about Mrs. Galleher’s adventures in the Far East.
http://khunnamob.hostignition.com/backup/nonlaw/nonlaw.7forum.net/forum-f1/topic-t146-25.htm
1967
CIA's "Operation Phoenix", which will assassinate
and torture over 40,000 people in Vietnam is launched.

...Beginning of CIA's $21 million rainmaking program over
Indochina, which will make 2,600 sorties by 1972.

Military takeover of Greece allegedly executed by secret
"Operation Prometheus".


http://www.britishpathe.com/record.php?id=44408 

THAILAND GAY FOR L.B.J. video newsreel film

 Thailand.

LV. Bangkok temples. AS. Pan down the temple. LV. American President Johnson's helicopter coming down to land in the centre of Bangkok. SV. Guard of Honour. SV. President Lyndon Baines Johnson shaking hands with the King Bhumipol and Queen Sirikit of Thailand. LV. Pan, traditional finger nail dance performed, girls trotting past to give a display for the President. SV. President Johnson and wife Ladybird, King and Queen watching. SV. Finger nail dance girls, & SV. Front view, girls dancing, showing long finger nails on their hands. GV. The President's car and procession driving along main street with the masses of people waving American flags. SV. Kids waving flags.

GV. Bangkok temples illuminated at night. SV. Interior, President Johnson and wife posing with King and Queen, & SV.
Issue Date: 06/11/1966 Sound: Yes
Time in: 01:58:29:00 Time out: 01:59:39:00
Canister: 66/89 Film ID: 2011.23
Sort number: 66/089 Tape: *PM2011*
http://www.criticalpast.com/video/65675039500_Lyndon-B-Johnson_King-Bhumibol_Queen-Sirikit_Chakri-Throne-Hall-dinner_bowing
View of boat in water. Aerial view of Thailand. President and Mrs. Johnson greeted by King Bhumibol and Queen Sirikit at Bangkok. Military band playing music. Queen Sirikit and Mrs. Lyndon B. Johnson getting in a car followed by President Johnson and King Bhumibol. Procession of cars passing on road. Hoardings of President and Mrs. Johnson and Grand Palace complex shown. President and Mrs. Johnson with King Bhumibol and Queen Sirikit arriving for State Dinner. President and others in Chakri Throne Hall of Grand Palace. View of Thai classical dancers dancing at National Theater. President and wife sailing in royal motor boat and a man rowing boat. People giving gifts to Mrs. Johnson. President Johnson shaking hands with students from car window. Crowd of students holding American and Thai flags as the procession of cars passes by. President in a factory and receiving doctorate in political science at a university. View of Thai ladies bowing President Johnson.

Location: Bangkok Thailand
Date: 1966, October 28
Duration: 5 min 7 sec
Sound: Yes
http://www.jimthompsonhouse.com/life/content.asp 
Jim Thompson or James Harrison Wilson Thompson was born in Greenville, Delaware in 1906. He attended public schools in Wilmington, went on to boarding school at St. Paul's and attended Princeton University, the family university, from 1924 to 1928.
Although Thompson had a keen interest in art, he chose to become an architect and went on to study architecture at the University of Pennsylvania. He was a practicing architect in New York City until 1940.
Jim Thompson,
The Legendary American of Thailand by
William Warren
With the escalation of the war in Europe in the early 1940s, Thompson volunteered for service in the United States Army, an important turning point in his life.
During the Second World War, Thompson was assigned to the Office of Strategic Services (OSS), forerunner of the Central Intelligence Agency (CIA), a move which offered him an opportunity to see more of the world.
Thompson as a member of an OSS group was assigned to work with French forces in North Africa. His assignments also took him into Italy, France and Asia.
To prepare for his mission, Thompson undertook rigorous training in jungle survival. He completed the course successfully.
However the war ended abruptly as Thompson and the other OSS men were en route to Bangkok. A few weeks later, he assumed the duties of OSS station chief. In late 1946, he received orders to return to the States to receive his military discharge.
The 'old' Oriental Hotel
Thompson was confident that with peace restored and the expansion of air travel, there would be a significant increase in leisure travel to the Far East. Upon their arrival in the capital, these travelers would need acceptable accommodation.
Few hotels in Bangkok could then even be considered of international standard. Only one had an ideal location -- the old Oriental, a former palace overlooking the Chao Phraya River that flowed through the capital.
Noel Coward
It was a meeting place for travelers and a social center for the foreign community. Charlie Chaplin, Noel Coward and Somerset Maugham were just a few of its famous patrons. Excited by the prospects presented, Thompson became actively involved in the reorganization of the Oriental Hotel.
By this time, Thompson had developed a certain fondness for the country and its people. He began to seriously contemplate settling down and going into business in Thailand. He foresaw a promising future for the country and wanted to be a part of this process. He decided that upon leaving the service, he would return and take up residence in Thailand permanently.
Somerset Maugham Somerset Maugham Suite at The Oriental

In late 1946, Thompson left for the States to get his discharge.



- ผ้าไหม Jim Thompson เป็นแบรนด์ที่เกิดขึ้นจาก Jim Thompson นักธุรกิจชาวอเมริกัน ผู้ที่มีบทบาทอย่างมากในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมผ้าไหมของไทยในช่วงปี 1950 - 1960 โดย Jim Thompson ได้ก่อตั้งบริษัท The Thai Silk Company Limited ขึ้นในปี 1948 เพื่อจำหน่ายผ้าไหมไทย ในปี 1949 Charles Baskerville เพื่อนของพี่ชาย Jim Thompson และเป็นหนึ่งในจำนวนแขกที่ได้รับเชิญเข้ามาเที่ยวเมืองไทยของ Jim Thompson Baskerville เป็นนักจิตรกรชื่อดังจาก New York ผู้มีเพื่อนและลูกค้ามากมายที่มีชื่อเสียงในระดับโลก เช่น Diana Vreeland นักออกแบบแฟชั่นชื่อดัง และได้นำผ้าไหมไทยเป็นจำนวนมากกลับไปที่ New York นับว่าเป็นจุดเริ่มของผ้าไหมไทยในการออกสู่สายตาต่างประเทศเป็นครั้งแรก ในต้นปี 1950 Jim Thompson ได้เปิดร้านผ้าไหมร้านแรกขึ้นบนถนนสุรวงษ์ ปี1960 ผ้าไหม Jim Thompson เป็นที่มีชื่อเสียงในสังคมแฟชั่นชั้นสูงในระดับโลก
- จนกระทั่งปี 1967 Jim Thompson ได้ขยายสาขาร้านเพิ่มในไทย และในปีเดียวกันนี้เองที่ Jim Thompson ได้หายสาบสูญไปขณะที่ไป Cameron Highlands ใน Pahang ประเทศ Malaysia วันที่ 27 มีนาคม ถึงแม้ว่าการหายตัวไปของ Jim Thompson จะยังเป็นปริศนาอยู่ในทุกวันนี้ แต่แบรนด์ Jim Thompson ยังเป็นแบรนด์ที่สร้างชื่อเสียงถึงความสวยงามของผ้าไหมไทยอันมีสไตล์เป็นเอกลักษณ์โด่งดังอยู่ในทั่วโลก


http://www.thingsasian.com/stories-photos/2761

The Curious Case of Jim Thompson, Thai Silk King

"On Easter Day, 1967, American businessman and founder of the modern Thai silk industry James H.W. Thompson disappeared while supposedly on a stroll in the jungle-clad Cameron Highlands, central Malaysia." 

Thus runs the blurb of William Warren's compelling and even eerie book Jim Thompson: The Unsolved Mystery, which appears to be the definitive account of the man's life and the theories swirling around his presumed death. The main ones are that Thompson
a) got lost in the jungle,
b) was abducted for reasons of ransom or politics,
or c) committed suicide.

Unfortunately none of these theories has a shred of evidence to substantiate it;
Thompson might just as well have vanished into thin air, and his disappearance holds much the same fascination for idle people of Bangkok as does the JFK assassination for idle people everywhere.

Warren distinguishes two legends: that of the man, and that of his strange exit. The legend of the man is well-known. Grandson to a man who had traveled through China and published Travels in the Middle Kingdom, Thompson graduated from Princeton and served for the OSS (precursor to the CIA) during World War II. It was in this capacity that he first visited Thailand, in whose capital Bangkok he was for a time OSS station chief. Enchanted by the kingdom and dumped by his American wife, Thompson decided to make a new life for himself in the country he preferred to call Siam. And among the many Thai articles he had begun to collect was some silk. This led him to found the Thai Silk Company, which would almost single-handedly rejuvenate the dying art of silk-weaving in Thailand. Later he built a compound consisting of more or less traditional Thai houses packed with Thai objets d'art, a compound that today ranks among the obligatory stops on any tourist's visit to Bangkok. Simply put, the name Jim Thompson is Thai silk, and the man has become one of the most famous foreigners to have ever lived in Thailand if not the whole of Southeast Asia.

Which makes all the more puzzling that so very little -- nothing, you might say -- is known about his ultimate fate. Warren patiently demolishes each theory, beginning with the theory that he died in the jungle, either as a result of disorientation, an animal trap, a sudden health problem, or what have you. A reasonably thorough search was made in the area and turned up nothing whatsoever, and a fellow named Noone who was tight with the jungle's aboriginal peoples believed their story that Thompson was not there. On the other hand, if he left with the intention of returning, then why did he, a heavy smoker, leave his cigarettes behind? So was he kidnapped for ransom? If so, then why was no ransom ever demanded by anybody?

And then there is the theory that he was abducted for reasons related either to his former affiliation with the OSS or his rather exaggerated friendship with Thai statesman Pridi Phanomyong, who had been forced into exile from Thailand because of his involvement in a botched coup attempt in 1949.

In the first case, the implication is that Thompson had continued to carry on with intelligence work, which would certainly be plausible were it not that, given his almost superhuman schedule for the Thai Silk Company, he had no time left over for spying. And, take this as you please, the CIA denies that Thompson was working for them. (They say he had become too "liberal".) And in that case, it is not at all clear why he might have been useful to Pridi or any other political figure or group, particularly the Communists, who are often named as a possible culprit. And as for suicide, his only motives for this would have been boredom with his life in Bangkok or frustration over his failing health. But people who knew him said that to kill himself unannounced would have been out of character, and those who were with him just before he vanished noticed no warning signs of impending self-destruction.

These are the prevailing theories but they are from being the only ones, as stymied investigators were willing to pursue virtually any lead, no matter how far-fetched. They even consulted supposed visionaries, both local and foreign, some of whom seemed to agree that Thompson had been abducted and taken to Cambodia. But Cambodia at the time was not on good terms with either the United States or Thailand, so on only one occasion was a search party sent there -- and in vain. One acquaintance claimed to have seen Thompson in Tahiti; a prostitute claimed that his abductors had brought him, drugged, to her brothel; one eyewitness in Malaysia reported that a caravan of menacing vehicles had headed up to the house where Thompson was last seen; another said that he was standing by himself when he "just vanished". Practically the only theory that was not floated was that Thompson had been carried off by fashion-conscious aliens.

The case became even weirder when one of Thompson's sisters was found bludgeoned to death in her home in America. The assailant was never found, and later her son would commit suicide. People supposed that there might be a connection between the events, and that it might have something to do with Thompson's last will and testament. Its first version had bequeathed the Thompson estate to the Siam Society, a research organization based in Bangkok; but when Thompson and the Society had a falling out he wrote up a second, which gave everything to one of his relatives. But though the second will had been witnessed, no copy was extant, so until it turned up some time later the estate was up for grabs. But why Thompson's sister would be implicated in the dispute was never explained. Nor was her murder, which had taken place despite her reputedly vicious guard dogs.

Warren, who as Thompson's biographer has the advantage of having also been his friend, has very little patience with the charlatans and opportunists and conspiracy theorists who have at various times concerned themselves with the Thompson case. 

But even in his first-person afterword, he doesn't propose his own hunch, if indeed he has one. At any rate it can safely be assumed that Thompson is now dead, having been born in 1906. My own suspicion, attractive only perhaps because it makes for the best story, is that Thompson simply ran away in order to start a new life elsewhere, which he had done in a far less dramatic fashion by abandoning America for Thailand decades before. As he grew older he grew more interested in the art of other Southeast Asian nations, so he might have made for one of them. And his training in the OSS had taught him jungle survival skills, so it is at least possible that he made his escape with the clothes on his back. I like to imagine the ex-spook lounging around Vientiane or Rangoon, perhaps with some native lady on his arm. Or gentleman: some believe that Thompson was homosexual. Warren doesn't. In any case, to think of him laughing over the hysterical headlines concerning him is a great deal more romantic than imagining him coming out of the other end of a tiger, or slipping off a cliff.

In the process of telling Thompson's story, Warren relates a number of intriguing facts about the region, for example that it was Thompson's friend and colleague (and ex-OSS man) Alexander MacDonald who founded Thailand's premier English daily, the Bangkok Post. Or that lifetimes in Thailand are divided into twelve-year cycles. This perhaps explains why one's 25th year is traditionally seen as pivotal; Thompson himself was 61 (5 X 12 + 1) when he went missing. Also interesting is that some well-educated Thais believe that Burma's current misery is a karmic consequence of the sacking of Ayutthaya by the Burmese -- in 1767.

As for Lord Jim, as some have called Thompson, the world may never know his last resting place, even though it continues to benefit from his silken legacy. Without him, I might not have been able to buy several pairs of silk boxer shorts made, almost needless to say, in Thailand. And the country as a whole would be much diminished. Whether or not he was a quiet American in the sense of being a secret agent, he was quiet in the literal sense of the word. And the rest, as Shakespeare said, is silence.
* * * * *
Review of William Warren's Jim Thompson: The Unsolved Mystery, Archipelago Press, 1998.
* * * * *
Published on 12/11/03

http://www.thailand-blogs.com/2010/08/25/looking-for-the-thai-silk-king/

Looking for the Thai Silk King


Jim Thompson was an American who formed the Thai Silk Company in 1948 in Bangkok, Thailand. He is often referred to as the Thai silk king.

Thompson was born in 1906 at Delaware in the USA. After initially trying to avoid the draft for WWII he became an OSS operative. The OSS being the forerunner of the CIA. His undercover work took him to many war time theatres but eventually he ended up in Bangkok at the end of WWII as OSS head of station.

Thompson fell in love with Thailand and decided he wanted to move to the Thai capital. He also realised that post war Thailand would provide many business opportunities and might well become a tourist destination. With the latter in mind he and a group of other businessmen acquired The Oriental Hotel in Bangkok and set about refurbishing it.

However it wasn’t long before Thompson “discovered,” Thai silk. Realising the potential of the product, Thompson went about forming The Thai Silk Company. A group of foreign and Thai investors formed the new company which organised and developed the cottage based industry where workers produced the woven product in their homes.

During his stay in Thailand Thompson had a home built in Bangkok at the side of a canal in an area where the Thai silk weavers lived. Part of the Jim Thompson House still remains today and is a museum which is said to be the second most visited Bangkok attraction after the Grand Palace.

The Thai Silk Company continues to this day and Thompson was awarded the Order of the White Elephant( Thailand’s highest decoration) in recognition of his work.

However the story of Jim Thompson doesn’t end there, because of the continuing mystery surrounding his death in 1967 at the Cameron Highlands hill station in modern day Malaysia. Indeed it is a death that has spawned many a conspiracy theorist to write about the events surrounding Thompson’s disappearance.

The story goes something like this, for some reason, Thompson decided to take an Easter break  at the home of some friends, Dr T.G. and Mrs Helen Ling of Singapore at their holiday bungalow, Moonlight Cottage, located above the golf course in Tanah Rata which is  in the Cameroon Highlands. At some point in time  on the afternoon of Easter Sunday Thompson allegedly left the house and went for a walk(in the jungle) never to return or be seen again.

Extensive local searches failed to find any trace of the man or indeed his remains. Almost immediately various  theories started to surface which have continued to grow over the years.

One such theory suggested by author Francine Matthews(Tracking the Legend-My Search for Jim Thompson) is that the then Thai government was involved in his death in some way:
“I told her that I thought Thompson had never ceased working as a spy, and that when he journeyed to Malaysia on that final weekend of his life, he intended to meet someone—an agent, a contact, perhaps his killer—in the jungle of the Cameron Highlands. I said I believed that he possessed a vital piece of information the Thai government wanted suppressed”
Given that Thompson had a huge collection of Thai artifacts in his home in Bangkok which apparently displeased  the Fine Arts department in the Thai capital,  Francine also speculates:
“The Thai government wanted to appropriate everything. Obstinate and enraged, Thompson attempted to negotiate in the Thai style: he threatened to reveal all he knew about the assassination of ………….unless he and his collections were left in peace. He gambled with the Thai government, and he lost.”
Two other authors of note have also written books about the disappearance of Thompson:
William Warren “The Legendary American: The Remarkable Career and Strange Disappearance of Jim Thompson”
Edward Roy De Souza “Solved!”
Earlier this year The Star(Malaysian Press) published an interesting article that once again fuelled the fire about the mystery. Entitled, Researcher: DNA may help unravel the mysterious disappearance of “Thai Silk King.”
 The article reports on an investigation completed by Captain Philip J. Rivers, a long-time resident in the Cameron Highlands and suggests that bone fragments discovered in  1985 may well be part of the remains of Jim Thompson. During a talk on the disappearance of Thompson, entitled, “He Never Left The Hills — The Real Search For Jim Thompson” he recalls the following tale:
“Recently, I heard a story of an elderly Chinese, wanting to ease his conscience, confessing that he had knocked down and killed a European.
“His family urged him to disclose where the body was buried so that the deceased could have a proper burial. However, the man died before he could reveal the spot,” said Rivers.
Rivers, who scrutinised books, articles and police reports from Deputy Supt (Retired) Ismail Hashim who was the OCPD then, said he concluded that Thompson never left the highlands and had suffered an accidental death.
Whatever the truth behind Jim Thompson’s death there will no doubt continue to be questions asked and I will leave you with this quote from author Francine Matthews:
Six months after Thompson’s death, his sister was murdered in her home outside Chicago during a bungled burglary.
According to Chase McQuade, Thompson’s great-nephew, the family believes she died during a botched attempt to locate Thompson’s last will, which bequeathed his estate to his extended family.
In the end, however, the Thai government seized his art collection. The house on the khlong is now a museum—one of the most beautiful sites a traveler may visit in Bangkok today. Thompson’s books still sit on his bedside table, just as he left them on Good Friday, 1967.
If you are ever in Bangkok and you want to see Jim Thompson’s house and museum you can find details here. Chances are though if you do visit you won’t find much information about Thompson’s demise.
But then again you wouldn’t expect too would you, especially if you are a conspiracy theorist?


http://khunnamob.hostignition.com/backup/nonlaw/nonlaw.7forum.net/forum-f7/topic-t309-25.htm


บันทึกประเทศไทย 2550 เรื่อง สถานการณ์สามก๊กในประเทศไทย ตอนที่ 3
ธุลีพระบาท125.24.83.160
บันทึกประเทศไทย 2550 เรื่อง สถานการณ์สามก๊กในประเทศไทย ตอนที่ 315 May 2007 04:13:35


สถานการณ์บ้านเมืองกำลังเดือดใกล้ถึงจุดระเบิดที่อุณหภูมิ 100 องศา

พวกเราที่ทำงานด้านข้อมูลข่าวสารของแผ่นดินจากเครือข่ายการข่าวทั้งทหาร ตำรวจ วัง และเครือข่ายการเมืองทั้งใน และ นอกประเทศ ได้ข้อสรุปแล้วว่า สถานการณ์สามก๊กในประเทศวันนี้กำลังจะถึงเวลาที่รอคอย นั่นคือ
"การบรรลุถึงคำตอบหนึ่งเดียวของคำถามที่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
กับบ้านเมืองนี้ ในอนาคตอันใกล้นี้"


มาทบทวนกันสักหน่อยก่อนที่คนไทยขี้ลืมจะลืมเหตุการณ์สำคัญ

ระเบิดหน้าสวนจิตรที่มีเจตนาทดสอบกำลังของระบบงานรักษาความปลอดภัยของพระราชวังสวนจิตรที่ผู้ก่อการทำสำเร็จได้อย่างงดงามชนิดที่ ตำรวจไทย ก็ยังทำงานสุนัขไม่รับประทานเหมือนเดิม ผิดกับ ทหาร ที่เข้าถึงตัวเบาะแสข่าวไกลถึงเชียงใหม่แต่ก็ไม่สามารถดำเนินการสอบสวนต่อ เชิงลึกเพราะถูก ขัดขวางด้วย กลไกอำนาจบางอย่างจากทั้งคนของอดีตนายกทักษิณ และ ผู้ใหญ่ผมขาวหน้าเด้งแห่งบ้านสี่เสา ซึ่ง ถึงเวลาที่ต้องวิเคราะห์ด้วยการพิจารณาสถานการณ์จริงที่ปรากฏต่อสื่อสาธารณะ

ตลอดเวลาเดือนเมษายน 2550 ถึงเดือนพฤษภาคม 2550 มานี้ มีการเคลื่อนไหวของบุคคลสำคัญของประเทศ 4 ท่านที่เราจำต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิดอย่างมากเพราะปรากฏการณ์นี้เป็นสิ่งที่บอกเหตุอย่างสำคัญ

ผมขอเริ่มที่ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเสด็จออกมาผ่านสื่อบ่อยครั้งจนอาจเรียกได้ว่าผิดปรกติปานประหนึ่งว่า
พระองค์จำต้องเสด็จออกมาให้ทุกฝ่ายได้รับรู้ว่า พระองค์ทรงยังเข้มแข็งและมีพระสุขภาพแข็งแรงมากเพียงพอจะทรงงานหนัก และเฝ้ามองทุกปัญหาที่เกิดขึ้นในแผ่นดินเวลานี้
ทั้งที่เหตุการณฺระเบิดหน้าสวนจิตรได้เกิดขึ้นและผ่านมาจนถึงวันเวลานี้ก็ยังไม่สามารถจับมือวางได้
ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์ทรงแสดงพระอาการหวั่นไหวใดๆ ทั้งสิ้น !!!

ใครที่รักในองค์เหนือหัวผู้ทรงเปี่ยมด้วยทสพิธราชธรรมและพระมหากรุราธิคุณเสมอด้วยพ่อของพวกเรา
ปวงชนชาวไทย ก็ขอให้ แสดงออกส่งแรงจิตใจ และเตรียมตัวเสมอ
ที่จะสนับสนุนทุกสิ่ง อันที่เกิดจากพระราชประสงค์แห่งองค์เหนือหัวกันได้แล้ว !!!

วันนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกำลังนำทัพของเหล่าตุลาการผู้ทำงานภายใต้พระปรมาภิไธย
เดินทัพเข้าสู่สนามรบของการพยายามที่จะสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายในแผ่นดินนี้ แผ่นดินของพระองค์ทรงนำทัพเข้ารบกับวิกฤติที่สุดในโลกด้วยพระองค์เอง!!!

เนื่องด้วยความล้มเหลวจากบุคคลที่ประชาชนทั้งแผ่นดินคาดหวังที่ชื่อ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
ได้สร้างความเสื่อมเสียต่อพระบารมีแห่งองค์พระมหากษัตริย์ ทั้งที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ทำการ
แก้ไขวิกฤติการทั้งสิ้นทั้งปวงให้สำเร็จ แต่ทุกสิ่งยิ่งซ้ำร้ายซ้ำเติมจนประเทสไทยวันนี้
ได้ตายสนิทไปแล้วอย่างสิ้นเชิง !!! ในทุกระบบ !!

แต่ สิ่งที่ผู้ที่ติดตามสถานการณ์บ้านเมืองมาตลอด จะสังเกตุได้อย่างชัดเจนว่า มีความเคลื่อนไหวอย่าง
ผิดปกติประการสำคัญอย่างหนึ่งคือ

ตลอดเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จออกทรงงานและปรากฏพระองค์ผ่านสื่อไป
ทั่วประเทศ พร้อมด้วยพระบรมราโชวาทสำคัญที่มีใจความที่เจาะจงให้ทราบถึงพระประสงค์
ของพระองค์อย่างชัดเเจ้งในหลายวาระ

นายกรัฐมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ กลับไปออกงานพร้อมกับ พลเอกเปรม ติณนสูลานนท์ ทุกงาน
ทุกครั้ง อย่างไม่ห่างกาย เสมอด้วยการเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสสำคัญต่างๆ ตลอด
หนึ่งเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา และจะยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ซึ่ง สิ่งนี้มีรายละเอียดสำคัญที่จะต้องติดตามให้ดี

นักธุรกิจสหรัฐออกมาเคลื่อนไหวเพื่อระดมเงินให้กับพลเอกเปรมในนามของ กองทุนคุณเปรม
 
ซึ่งเบื้องหลังของนักธุรกิจสหรัฐเหล่านี้ก็คือ
หน่วยสืบราชการลับของสหรัฐ C.I.A.
ที่คาดหวังว่า พลเอกเปรมจะได้ขึ้นนั่งว่าราชการแผ่นดินแทนองค์พระบาทเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะ บทบาทหน้าที่ของ ประธานที่ปรึกษาคุณที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์ เป็นผู้ทำนห้าที่กลั่นกรองทุกสิ่งที่จะต้องนำขึ้นทูลเกล้าทุลกระหม่อมถวายรายงาน !!!
และในรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ที่กำลังเร่งรัดการลงประชามติ ก็ยังระบุให้ ประธานองคมนตรียังเป็นผู้มีอำนาจและสิทธิในการว่าราชการแผ่นดินเสมอด้วยผู้สำเร็จราชการ คงเดิม !!!

นี่เองคือประเด็นสำคัญที่ทำให้ C.I.A. ตัดสินใจเลือกเข้าข้างพลเอกเปรม ตินณสูลานนท์ และ พลเอกเปรม ก็ยังสามารถสั่งนายกสุรยุทธ์ จุลานนท์ คุมอำนาจการปกครองด้านหลังคณะรัฐมนตรี ในฐานะของผู้มีอำนาจตัดสินใจ ในการกำหนดทิศทางของแผ่นดินอย่างแท้จริง !!!

ในฐานะที่ทุกท่านผู้เป็นเพื่อนมิตรของผม นายธุลีพระบาท ได้ติดตามมาเสมอ ก็ขอบอกเล่าให้รู้ว่า วันนี้
กองทัพเรือและหน่วยทหารนาวิกโยธิน ถูกควบคุมแล้วโดย คนของพลเอกเปรม ซึ่งใครเป็นผู้บัญชาการกองทัพเรือ คนปัจจุบันก็คงหาชื่อได้ไม่ยาก ซึ่งนี่คือหนึ่งในทหารลูกป๋าที่ถูกเตรียมการสำหรับการยับยั้งการก่อปฏิวัติซ้ำจากทุกอำนาจ และต่อต้านการลุกฮือของประชาชนที่ผิดหวังต่อการบริหารราชการแผ่นดินของ พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ และ หากใครหูดี ความจำดี ก็น่าจะได้รับทราบจากสื่อแล้วว่า นายพลจาก PENTAGON ได้ติดต่อให้ข่าวว่า พร้อมให้การสนับสนุนรัฐบาลไทย ในการดำเนินการเลือกตั้ง ด้วยเหตุผลที่ว่า การเลือกตั้งเป็นสิ่งที่จะทำให้วิกฤติการต่างๆในประเทศไทยยุติสิ้นสุดลง ตามความเห็นของ PENTAGON

เอาล่ะ มาว่ากันตรงๆกันหน่อย เหตุผลที่ C.I.A. เลือกจะหนุนสุรยุทธ์ และ พลเอกเปรม ก็เพราะ สองคนนี้เป็นมือเท้า ให้กับปฏิบัติการของ C.I.A. มานานแล้วตั้งแต่การแทรกแซงกิจการภายในและความมั่นคงของประเทศพม่า การค้ายาตลอดแนวชายแดนไทย - พม่า และการค้าอาวุธสงคราม และ ชนกลุ่มน้อย

ที่ ทั้งเจ้านาย ทั้งลูกน้อง ได้ให้ความร่วมมือกับหน่วยสือราชการลับสหรัฐมานานโข ซึ่ง คิดว่าน้อยคนจะรู้ว่า เอาเข้าจริง 
การกำหนดตัวนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย
แท้จริงแล้วก็คือ การต่อรองอำนาจ
ทางการเมืองโดย C.I.A.

นี่คือคำตอบว่า ทำไมพลเอกสุรยุทธ์ถึงได้รับการต้อนรับอย่างดี
จาก ราฟ แอล บอยส์ เอกอัครราชฑูตสหรัฐประจำประเทศไทย !!!

เอาล่ะครับ ผมพูดตรงๆไปเลยว่า พลเอกเปรมคือผู้สร้างดุลอำนาจต่อรองไว้กับมือตนเองในระดับสูงสุดเสมอเทียบเท่ากับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่มีบทบาทในทางการบริหารราชการแผ่นดิน และ การควบคุมกลไกนิติบัญญัติ สูงกว่า เพราะ สถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่อาจทำผิดพลาดใดๆ ด้วยการ แทรกแซงทางการเมือง และนี่คือ จุดบอดใหญ่หลวงของการที่ ใครที่ต้องการยึดประเทศ หรือ บ่อนทำลายประเทศ หรือ ต้องการ ควบคุมประเทศ ก็อาสัยแค่การควบคุม ระบบบริหารแบบเดียวกับทักษิณ ควบคุมระบบริหารประเทศ ควบคุมกลไกหน่วยงานอิสระ และทำลายกลไกยุติธรรม

แต่ความต่างกับสถานการณ์วิกฤติระดับสูงสุดที่เข้าใกล้จุดเดือด 100 องศาเซลเซียส ในวันนี้ที่ไม่เมหือนกับทักษิณ ชินวัตร คือ

พลเอกเปรมได้ร่วมมือกับทักษิณ ชินวัตร ในการ เปิดประตูเมืองให้ทักษิณ และ ตระกูลดามาพงศ์ รวมทั้งบริวารพวกพ้อง ทำลายประเทศ ทำลายพระมหากษัตริย์ ได้ตามสบาย และ หากท่านใดไม่รู้ซึ่งก็ไม่น่าจะได้รู้ก็คือ

"พลเอกเปรม ติณนสูลานนท์ ออกคำสั่งทำการดักฟังโทรศัพท์องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว"

ด้วยเหตุผลคำอ้างว่า เพื่อ ถวายความปลอดภัย !!!

ข่าวสารนี้มีการรับรู้ในวงจำกัดมากและถือเป็นชั้นความลับระดับสูงสุดที่ผม จำต้องพูดว่า มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาแล้วจะนิ่งเฉยดูดายไม่ได้ !!!

หากจะพูดว่า แม้มันจะจริงแล้วใครจะเชื่อว่า พลเอกเปรม ติณนสูลานนท์ ร่วมมือกับ ทักษิณ ชินวัตร และ ทำให้วิกฤติการของประเทศขึ้นสู่จุดสุงสุด ในเมือ พลเอกเปรมคือประธานองคมนตรี ที่ พระเจ้าอยู่หัวทรงเลือกมา !!!

นี่คือ ความเป็นจริงที่น่าเศร้าสำหรับแผ่นดินไทย เพราะ คนไทยส่วนมากของประเทศนี้ ไม่เคยรับรู้และไม่มีโอกาสจะอยู่กับความเป็นจริง ความจริงที่เลวร้าย ชั่วช้า และ นำพาความตายมาสู่ตนเอง อย่างน่าสมเพช !!!

เหตุผลที่ว่า การที่จะทำการโปรดเกล้าใดๆลงมาพร้อมการลงพระปรมาภิไธยในทุกเรื่องที่สำคัญ
จำต้องผ่านสภาองคมนตรี โดยมีพลเอกเปรมเป็นประธาน

อะไรจะเกิดขึ้น เมื่อพลเอกเปรมถูกซื้อได้ด้วยเงิน และ เอื้ออำนวยประโยชน์แก่คนที่จ่ายเงินให้แก่ตนเอง
เพื่อผ่านเรื่องต่างๆนำขึ้น กราบบังคมทูลเกล้าทูลกระหม่อมลงพระปรมาภิไธย และ
 
หากไม่เพราะ พลเอกเปรม คือ ประธานที่ปรึกษาของ
บริษัทคิงพาวเวอร์ หนุ่มเสกหรือจะได้นั่งในตำแหน่ง
รองประธาน บริทคิงพาวเวอร์ และ จงใจใช้ชื่อ
บริษัทปานประหนึ่งว่าเป็นบริษัทของ พระเจ้าอยู่หัว !!!

ทักษิณ ชินวัตร กุมความลับในการจ่ายเงินแก่พลเอกเปรม พลเอกเปรมกุมความลับในการจ่ายเงินแก่ตนเองเพื่อแลกกับการผ่านเรื่องจาก ทักษิณขึ้นสู่ขั้นตอนการลงพระปรมาภิไธย

พลเอกเปรมเป็นคนกำหนดตัวคน ที่นั่งในตำแหน่งรัฐมนตรีและผ่านไปให้พลเอกสุรยุทธ์ผ่านเรื่องนำขึ้นทูลเกล้าเพื่อทรงทำการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม

นี่เท่ากับว่า ทักษิณ ชินวัตร เป็น พันธมิตรกับพลเอกเปรม และ พลเอกเปรมก็ควบคุมนายกสุรยุทธ์ นายกสุรยุทธ์ เป็นเจ้านายเก่าของพลอกสนธิ

แล้วถามว่า วันนี้รอบข้างพระวรกายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะยังเหลือใครที่ไว้วางใจได้ ???!!!

หลังจากบทความนี้ถูกส่งเข้ามาในเน็ต ชีวิตผมก็คงจะสั้นลงไปอีกแล้ว หากชะตากรรมของผู้ที่เทิดทูนสูงสุด คือ การตายในต่างแดนเสมอด้วยท่านปรีดี พนมยงค์ หากทีมงานข่าวกรองและทีมงานจากลูกป๋าจะทำการเก็บผม ก็มาเลย

แต่ผมก็พร้อมจะรบกับพวกคุณ ไม่ยอมให้พวกคุณทำอะไรได้ๆ จน ประเทศนี้ เละคามือคาเท้าคุณฝ่ายเดียวแน่

หากผมยังรอดอยู่ได้นานพอที่จะเขียนตอนที่ 4 ผมจะกลับมา

ข้าฯ ขอตายเพื่อปกป้องไว้ซึ่ง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

สุกฤษณ์ อุดมเดชวัฒน์ "ธุลีพระบาท"

14 พ.ค. 2550


เราพึ่งอ่านหนังสือเรื่อง "12 ตระกูลอภิมหาเศษฐี ที่รํ่ารวยที่สุดในประเทศไทย"

Posted by: Uthit Pratungphatanakul
ที่เรียบเรียงโดย คุณโภูวเดช สินพงศพร จบมาหมาดๆ และนี่คือรายชื่อที่หนังสือเล่มนี้ระบุว่า เป็นสิบสองผู้รํารวยที่สุดในประเทศไทย 
1. เจริญ สิริวัฒนภักดี     เจ้าของเหล้าแม่โขง เบียร์ช้าง
2. ธนินท์ เจียรวนนท์      เจ้าของเครือซีพี เซเวนอีเลฟเว่น
3. เฉลียว อยู่วิทยา        เจ้าของเครื่องดื่มกระทิงแดง
4. ทักษิณ ชินวัคร         เจ้าของระบบเครือข่าย เอ ไอ เอส
5. นายแพทย์ชัยยุทธ กรรณสูค  เจ้าของ อิตัลไทย กรุ๊ป
6. ประวิทย์ มาลีนนท์       เจ้าของ ไทยทีวีสี ช่อง 3
7. ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม   เจ้าของค่ายเพลงแกรมมี่
8. บุญสิทธิ์ โชควัฒนา      เจ้าของเครือสหพัฒฯ
9. วันชัย จิราธิวัฒน์         เจ้าของห้างเซ็นทรัล
10. บุญชัย เบญจรงคกุล     เจ้าของระบบเครือข่าย ดีแทค
11. บัณฑูร ลํ่าซํ่า             เจ้าของธนาคารกสิกรไทย
12. ชาตรี โสภณพนิช        เจ้าของธนาคารกรุงเทพ 

March 12

กลุ่มนายทุนพรรคไทยรักไทย

Posted by: Uthit Pratungphatanakul
ผม ได้ข้อมูลนี้มาจาก หนังสือเรือง "44 คนดัง คนรวย" (ก.ค. 2547) ซึ่งรวบรวมและเรียบเรียงโดย คุณบุญชัย ใจเย็น ครับ  ซึ่งก็ขอแนะนำให้ผู้ที่สนใจชีวประวัติสั้นๆของบุคคลดังๆ จากหลากหลายอาชีพในประเทศไทย
1. กลุ่มทุนสื่อสารและโทรคมนาคม - กลุ่มชินคอร์ป และเอ็ม-ลิงค์ ของ ทักษิณ  และ นางเยาวภา วงษ์สวัสดื์ และ กลุ่มจัสมินของ ดร.อดิศัย โพธารามิก (รมต. กระทรวงศึกษาธิการ)
2. กลุ่มทุนอุตสาหกรรมรถยนต์ – กลุ่มซัมมิท ของนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (รมต.กระทรวงคมนาคม)
3. กลุ่มทุนธุรกิจด้านการบันเทิง – ประชา มาลีนนท์ (เจ้าของไทยทีวีสี ช่อง 3)
4. กลุ่มอุตสาหกรรมการเกษตร – กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์ของนายวัฒนา เมืองสุข (หลานเขย เจ้าของซีพี ธนินท์ เจียรวนนท์)
5. กลุ่มทุนรับเหมาก่อสร้าง – นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ
6. กลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์ – นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ นายสนธยา คุณปลื้ม (รมต.การท่องเที่ยวผู้นี้เป็ย ลูกของ สมชาย คุณปลื้ม หรือ กํานันเป๊าะ เจ้าพ่อเมืองชล) และ นางอุไรวรรณ เทียนทอง

March 11

In progress: คนดัง คนรวย research...

Posted by: Uthit Pratungphatnakul
1. สุวัจน์ ลิปตพัลลภ - หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา
2. สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ - เลขาพรรคไทยรักไทย เป็นหุ้นส่วนใหญ่เครือ "ซัมมิท " ซึ่งเป็นขาใหญ่ของวงการรถยนต์ในประเทศไทย
3. วัฒนา อัศวเหม - เจ้าพ่อปากนํ้า(สมุทรปราการ) เป็นเจ้าของธุรกิจนํ้มันยี่ห้อ "เอ็ม พี" กับ อาณาจักรกาสิโน "แกรนด์ไดมอน" ที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พรรคราษฎร
4. ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร
5. ภูษณ ปรีย์มาโนชลูกจ้างที่รวยที่สุดไนประเทศไทย ผู้มีบทบาทสร้างอาณาจักรยูคอม อดีตกรรมการผู้จัดการบริษัทโทเทิ่ลแอ็ดเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ  แทค"

http://khunnamob.hostignition.com/backup/nonlaw/nonlaw.7forum.net/forum-f1/topic-t1054.htm



ซีเอฟอาร์วิเคราะห์การสู้รบไทย-กัมพูชา

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2554 10:52

ซีเอฟอาร์วิเคราะห์การสู้รบไทย-กัมพูชา

Are Thailand and Cambodia Heading to War?

Over the past week, fighting between Thailand and Cambodia over the disputed Preah Vihear border temple has left its bloodiest toll in at least a decade. At least seven people have been killed in recent days and dozens of soldiers on both sides wounded, as the Thai and Cambodian militaries trade rifle and artillery fire.
Now, the fact that people are getting killed over a small amount of disputed territory and an (admittedly beautiful) temple does, to many observers, seem absurd. But the conflict also points to a bigger problem: Thai Prime Minister Abhisit Vejjajiva seems to have diminishing control over the Thai military, which is largely responsible for his place in office. On the Thai side, the conflict is being pushed by nationalists linked to the People’s Alliance for Democracy, but the military men taking action along the border often seem to be doing so either without informing Abhisit or informing his office well after the fact.

This is part of a disturbing and growing trend. It’s widely known in Thailand that the military helped broker the coalition government, with Abhisit at the head, bringing down several pro-Thaksin governments that followed Thaksin’s exile.

But how much control does Abhisit have now over his armed forces? To take one example, the Thai military budget has roughly doubled in the past five years, yet the army is spending its money on seemingly useless projects like a new division based in the Northeasta project long pushed by the military’s godfather, Prem Tinsulonanda,
but which has relatively little real use today. (After all, the money could easily be used in the south, home to a serious insurgency, or on the border with Burma.)

Abhisit also appeared to have little control over the military’s actions during the violence in Bangkok during last April and May. And Abhisit seems unable to control the security forces’ meddling in, or denying help to, the investigations into the killings in Bangkok last April and May.

Where might this all lead? It’s not hard to imagine, particularly as the question of royal succession becomes more evident and the military increasingly feels it alone can defend the crown. Recently, army chief Prayuth chan-Ocha has been publicly denying that the military plans to stage a coup, as rumors of the possibility swirl in Bangkok. But, remember that only days before the last coup, in 2006, the military was denying it had any such intentions. Don’t bet against it this year either.

Viewing cable 06BANGKOK5811

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น